Skip to content

เราเกิดมาทำไม

หลวงพ่อชา สุภัทโท

| PDF | YouTube (Start 30:13)| AnyFlip |

เอาวันนี้เป็นวันพระ ซึ่งนับเนื่องมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราว่าวันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นวันที่ชาวพุทธเราจะมาทำความเข้าใจกันในธรรมะซึ่งให้เกิดประโยชน์แก่พุทธบริษัททั้งหลาย 

ธรรมะซึ่งเป็นสัจธรรม นำจิตใจของประชาชนชาวพุทธทั้งหลายนั้น ให้ลุถึงซึ่งความสงบระงับ ให้รู้จักดีชั่ว บาปบุญคุณโทษ พอที่จะรักษาตัวได้ในชีวิตที่เป็นอยู่ ความเป็นจริงนั้น วันพระทุกวันนี้กลับจะไม่มีเป็นวันพระ เพราะว่าคนเราไม่สนใจ ไม่ยอมรับธรรมะคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ได้ยินอยู่แต่ไม่รู้ รู้อยู่แต่ไม่เห็น เห็นแต่ว่ามันไม่รู้ ก็หมายความว่า มันไม่ทั้งรู้ทั้งเห็น เห็นอะไร เห็นความจริง เห็นสัจธรรมความเป็นจริง 

อันความจริงนั้นจะทำอยู่คนเดียวมันก็จริง จะทำหลายคนมันก็จริง เราทำนี่มันจริงแล้ว คนอื่นจะว่าไม่จริง มันก็เป็นของจริง อันนั้นเรียกว่าของจริง มันไปทำอยู่ที่บนอากาศ มันก็เป็นความจริง มันจะไปทำอยู่ในน้ำ มันก็เป็นความจริง จะทำอยู่บนบก มันก็เป็นความจริง มิฉะนั้นพระพุทธเจ้าของเราท่านจึงว่า ธรรมะนั้นน่ะ มันเป็นความจริง จริงทุกกาลทุกเวลา ที่ผ่านมาแล้วตั้งแต่วานนี้มันก็เป็นความจริง ในปัจจุบันมันก็เป็นความจริง อนาคตมันก็ยังเป็นความจริง 

หมายความว่าเราจะทำความผิด ไม่มีใครเห็น มันก็ยังเป็นความจริง เราจะทำความถูกอยู่ ไม่มีใครเห็น มันก็เป็นความจริง มิฉะนั้นคนเราเมื่อจะทำความดีนั้นน่ะ ไม่ต้องให้คนอื่นเห็น บางคนทำคุณงามความดี ก็ต้องการอยากจะให้คนอื่นเห็น ให้คนอื่นเป็นพยานเรา จึงจะดีอก จึงจะดีใจ อันนั้นก็ดีอยู่ แต่ว่ามันยังไม่จริง ไม่บรรลุถึงความจริง จริงๆ ไอ้ความจริงนั้น เราจะไปลอบทำอยู่คนเดียว ทำความชั่ว มันก็ชั่วอยู่นั่นหละ ทำความดีอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็น มันก็ยังดีอยู่นั่นเองแหละ มันเป็นเสียอย่างนี้ ไม่ต้องว่าเราทำความชั่ว คนเห็นแล้วเพิ่มชั่วขึ้นอีก ไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อเราทำความดีจริง เมื่อคนเห็นน่ะ มันเพิ่มความดีขึ้นอีก มันไม่เป็นอย่างนั้น มันเป็นซะอย่างนั้น 

อันนี้ถ้าหากว่าความดีทั้งหลายที่เราประพฤติปฏิบัติกันแล้ว มิฉะนั้นมันจึงตรัสซึ่ง ลาภหรือยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ ไม่มีที่ลับ ทำดีมันได้ดี ทำชั่วมันได้ชั่ว อันนี้มันเป็นความจริง แต่พระพุทธองค์ท่านตรัสอยู่อย่างนั้น พระพุทธองค์ท่านทำความดี ท่านละความชั่ว ท่านออกไปบำเพ็ญ นั่งหลับหูหลับตาที่ไหน ไกลรูป เสียง กลิ่น รส ท่านก็ยังมีความดี สาวกทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น แต่ว่าคนเราทุกวันนี้จิตใจไม่แน่นอน ไม่มีศรัทธาอย่างเป็นจริง ทำอะไรที่เราทำความดี อยากจะให้คนเห็น ถ้าคนไม่เห็นแล้ว ก็ไม่ค่อยสบายใจ อย่างนี้ ทำความชั่วก็เหมือนกัน ไม่ให้คนเห็น ถ้าคนเห็นแล้ว ดูมันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ทำความชั่วที่คนไม่เห็นน่ะมันดี อย่างนี้ แต่ความเป็นขโมยในตัวของเราอย่างนี้อยู่ตลอดกาลตลอดเวลานั้น คนเราจึงไม่พบความจริงคือธรรมะ 

ความเป็นจริงธรรมะนั้น มันมาตกลงอยู่ที่จิตของเรา อย่างการกระทำบุญน่ะ กระทำบุญอยู่ทุกชิ้นทุกส่วนนั่นน่ะ ก็เพื่อจะให้จิตเราเป็นบุญ เมื่อจิตเราเป็นบุญแล้ว จะนั่งอยู่มันก็เป็นบุญ จะเดินอยู่มันก็เป็นบุญ จะไปที่ไหนมันก็เป็นบุญ คนผู้ที่รู้จักบุญ ถึงได้คนอื่นไม่เห็น มันก็เป็นบุญ คือความเห็นชอบอยู่ที่ตรงจิตใจของเรา การทำบุญทั้งหมดนั้น ต้องการให้จิตเรามันเป็นบุญ ถ้าจิตเรามันเป็นบุญแล้ว ไปอยู่ที่ไหน ทำบุญอยู่ที่ไหนมันจะเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ต้องฉลอง ไม่ต้องให้คนรู้ ไม่ต้องให้คนเห็น ไม่ต้องมีอะไรไปเพิ่มเติมมันเถอะ มีกำลังจิตใจ เราเชื่อมันในความดีแล้วเราก็ทำไปเท่านั้นแหละ มิฉะนั้นพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านจึงทำคุณงามความดีของท่านน่ะ อยู่ที่ไหนท่านก็ทำของท่าน ใครจะว่าไม่ดีสักเท่าไหร่ มันก็ดีอยู่นั่นแหละ เมื่อทำสิ่งที่มันไม่ดี เค้าจะว่ามันจะดีอยู่แค่ไหน มันก็ไม่ดีอยู่แค่นั้น 

อันนี้ก็เป็นเหตุอันหนึ่งที่จะให้พวกเราทั้งหลายทำความเข้าใจในธรรมะ ถ้าเราเข้าใจธรรมะมันเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็ไม่ต้องส่งจิตใจของเราออกไปข้างนอก เราอยู่ข้างในของเรา ทำจิตให้มันเป็นบุญ เช่นแสวงหาบุญ นอกใจของเจ้าของ มันก็ลำบาก นั่งรถ นั่งเรือ วิ่งไปวิ่งมาตลอดกาลตลอดเวลา อย่างญาติโยมก็มาทำบุญกันนั่นแหละ ไปทอดกฐินตรงนั้น ไปทอดผ้าป่าอยู่ตรงนี้ ไม่ค่อยได้ฟังธรรมหรอก พอไปนั่งกราบพระแล้ว รีบจะไปแล้ว มันรถเขา เช่ารถเขามา ก็เลยรีบ ไปนั่งก็รีบ รีบลุก ลุกแล้วก็รีบเดิน เดินน่ะก็รีบวิ่ง รีบไปรีบมาๆ เลยได้แต่รีบเท่านั้นหละ ไม่ได้อะไรเป็นสาระประโยชน์ในด้านจิตใจของเรานั้นๆ 

อันนี้คนเราวิ่งหาบุญ บุญกุศลแท้ๆนั่นน่ะ ไม่อื่นไกลหรอก ในหลักพุทธศาสนา พระพุทธหนึ่ง พระธรรมหนึ่ง พระสงฆ์หนึ่ง เมื่อบุคคลมาทำจิตใจให้เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นแล้วเท่านั้นน่ะ เท่านั้นก็ไม่ตกนรกแล้ว ไม่ต้องอื่นไกลหรอก เชื่อมั่น ไม่งมงาย อันนี้เป็นหลักที่สำคัญ สมัยนี้ชาวพุทธเราทั้งหลายนั้นมันเป็นของยากลำบาก ถึงแม้จะทำบุญ ถึงแม้จะฟังธรรม ถึงแม้จะสร้างคุณงามความดี จะต้องให้คนอื่นบังคับจับมือ ถ้าคนอื่นไม่บังคับ ไม่จับมือแล้วก็ไม่ทำ ไม่ยอมทำ ไม่กล้าทำ ฉะนั้นธรรมะอันแท้จริงมันจึงไม่เห็น เราจึงไม่เห็นธรรมในจิตใจของเรานั่นเอง 

ฉะนั้นจิตใจของเรานี้ ถ้าเรามาพินิจพิจารณาดูแล้ว่า มันไม่อยู่ที่อื่นหรอก บุญ บาป มันอยู่ที่จิตใจของเรา ฉะนั้นพระพุทธองค์ให้ค้นจิตของเรานั้นกับธรรมะ จิตเรามันไม่ได้ฝึก จิตเรามันไม่ได้ฝึก เราจะไปเชื่อจิตของเราอย่างเดียว ว่าเราชอบอันนี้ ว่ามันดี บางทีมันก็ชอบอันผิดๆน่ะ ว่าดี แต่ว่ามันดีเฉพาะใจของเรา แต่ความจริงแล้ว ขาดจากธรรมะ มันเป็นของไม่จริงโดยสัจธรรม 

มิฉะนั้นต้องเอาจิตของเราน้อมเข้าไปสู่ธรรมะ อย่าดึงธรรมะเข้ามาสู่จิตของเรา เราต้องดึงจิตของเราเข้าไปสู่ธรรมะ อย่างผู้น้อยต้องน้อมเข้าไปหาผู้ใหญ่ ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่น้อมเข้าไปหาผู้น้อย เราเป็นสาวกพระพุทธองค์ของเรา จะน้อมเข้าส่งถึงพระพุทธเจ้าของเรา ไม่ใช่ให้พระพุทธเจ้าน้อมมาหาสาวกอย่างนี้ มันเป็นธรรมเนียมมาแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว ธรรมะก็ดี เป็นของที่สูงสุด กับตัวเรานี่มันเป็นคนที่ไกลจากธรรมะ เมื่อเราอยากจะเห็นธรรมะ เราไม่ควรดึงธรรมะเข้ามาใส่ใจเรา ไม่ให้ธรรมะน้อมมาใส่ใจเรา ให้ใจเราน้อมเข้าไปหาธรรมะ เพราะธรรมะมันเป็นสัจธรรม จิตใจของเราเป็นต้น มันจิตใจยังไม่ได้ฝึกฝนให้เป็นธรรมะ มิฉะนั้นเป็นต้นว่าเราชอบอันนี้ อันที่เราชอบนั้น จะว่าดีรึ มันก็ยังไม่ใช่ ดีแต่เฉพาะจิตใจที่เราว่ามันดี เราชอบมัน บางทีเราชอบของไม่ดี ก็เข้าใจว่าของดี ชอบของผิดๆ ก็นึกว่ามันดี แต่ว่ามันความเห็นว่าดีน่ะ คือจิตของเราน่ะไม่รู้จัก ฉะนั้นจิตของเรายังไม่ได้ฝึกฝน จิตที่ฝึกฝนดีแล้วนั่นน่ะ มันจึงเข้าสู่ธรรมะ น้อมจิตเราเข้าไปหาธรรมะซะก่อน เพื่อจิตเราให้กลมเกลียวกับธรรมะ 

ให้จิตมันเป็นธรรม ให้ธรรมมันเป็นจิต ให้จิตมันเป็นธรรม มันจะนั่ง จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอนอยู่ที่ไหนมันก็เป็นธรรม มันจิตเป็นธรรม ความคิดเรามันก็เป็นธรรม สภาวะที่เราคิดน่ะมันก็เป็นธรรม มันเป็นความจริง เป็นสัจธรรมอย่างนั้น อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น มิฉะนั้นมันเหนือจิตของเจ้าของนั้น บางทีมันก็ไม่เป็นธรรมะ เราก็ไปคิดว่าสิ่งที่มันผิดนั้นว่ามันถูก อันนั้นเราก็ชอบเข้าอย่างนั้น มิฉะนั้นท่านจึงให้ฟังธรรมะ ฟังธรรมให้มันรู้จักธรรมะ ให้รู้ให้เห็นธรรมะอยู่ที่ใจ โง่มันอยู่ที่จิตใจของเรา ความฉลาดมันอยู่ที่จิตใจของเรา ความมืด ความหลงมันอยู่ที่จิตใจของเรา ไอ้ความรู้ ความสว่างมันอยู่ที่จิตใจของเรา 

เหมือนกับที่ว่าไอ้จานใบหนึ่งที่มันสกปรก หรือพื้นฐานที่บ้าน หรือศาลาเรานี่มันสกปรก มันถูกน้ำมัน หรือมันถูกเครื่องสกปรกอันใดอันหนึ่ง มันก็สกปรก อยู่ที่มันสกปรกนั่นหละ เมื่อเราอยากให้มันสะอาด เราก็เอาน้ำมาสาดมันซะ น้ำมาล้างมันเสีย ไอ้ของสกปรกนั้นมันก็หายไป เมื่อของสกปรกหายไปคือความสะอาดในพื้นศาลา พื้นบ้านของเรา มันก็สะอาดขึ้นมา เราก็จะเห็นได้ว่า ไอ้สิ่งที่มันสกปรกนั้นก็คือจิตของเรา ถ้าหากว่าเราทำความถูกต้องดีแล้ว ไอ้ของที่สะอาดมันก็ยังมีอยู่ เหมือนพื้นศาลามันสกปรกเพราะอะไรต่างๆที่ให้มันสกปรกนั้น มาเช็ด มาล้างสิ่งที่สกปรกให้มันออก ความสะอาดมันก็พ้นขึ้นมาอยู่ที่นั่น ที่ของสกปรกมันปกปิดอยู่นั่นเอง ไอ้ความชั่วและความดีของเราทั้งหลายก็เหมือนกันฉันนั้น ความชั่วอยู่ตรงไหน ความดีอยู่ตรงนั้น ความผิดอยู่ตรงไหน ความถูกอยู่ตรงไหน ความสกปรกอยู่ที่ไหน ความสะอาดมันก็อยู่ที่นั่น เหมือนกันฉันนั้น จิตใจของเรานี่ก็เหมือนกันฉันนั้น 

ธรรมชาติของจิตเราจริงๆนั้นน่ะ มันเป็นจิตที่สม่ำเสมอ มันเป็นจิตที่ไม่เศร้าหมอง เป็นจิตที่ผ่องใส ขาวสะอาดอยู่อย่างนั้น ที่จิตของเรามันเศร้าหมองนี้ ก็เพราะเราว่ามันไปพบกับอารมณ์ พบกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจของเรานั่นแหละ ก็ทำใจของเราให้ขุ่นมัว ทำใจของเราให้เศร้าหมอง ทำใจของเราไม่ให้สะอาด ทำใจของเราให้สกปรก นี่เพราะอะไร ไม่ใช่จิตของเรามันสกปรก เพราะจิตของเรามันยังไม่แน่นอน ไม่เชื่อมั่นในธรรมทั้งหลายนั่นเอง กับอารมณ์ที่เราไม่ชอบใจ เราก็เศร้าหมอง อารมณ์ที่เราชอบใจ ใจเราก็ผ่องใส มันก็เป็นอย่างนั้น 

ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่ ท่านให้ปฏิบัติ ไม่ใช่ให้พูดเฉยๆ ให้ปฏิบัติคือให้ทำความเป็นจริง เช่นว่าเราสมาทานซึ่งศีลอย่างนี้เป็นต้น ท่านว่า ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา นี่เรียกว่าศีล คำพูดถึงศีล ไม่ใช่ตัวของศีล สภาวะของศีลนั้นมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง สภาวะของศีลนั้น ไม่ใช่ว่าการพูด มันเป็นการกระทำจริงๆ เช่นว่า ไม่ฆ่าสัตว์อย่างนี้ เราก็ไม่ฆ่าจริงๆ ไม่กินสุรา เราก็ไม่กินจริงๆ ไม่พูดโกหก เราก็ไม่โกหกจริงๆ อย่างนี้ เราไม่ขโมยของคนอื่น ก็ไม่ขโมยจริงๆ ไม่ใช่ดีแต่พูดเฉยๆ ศีลมันอยู่ที่ตรงนั้น อยู่ตรงที่กระทำ ไม่อยู่ตรงที่พูด พูดนั้นเพื่อชี้ให้เราเห็นว่า อันนั้นมันเป็นอย่างนั้น อันนั้นมันเป็นอย่างนั้น เมื่อเราตกลงใจว่ามันเป็นเช่นนั้น เราก็ลงมือกระทำเลย ลงมือประพฤติเลย ลงมือปฏิบัติเลย กระทำเลย อันนั้นให้เกิดเป็นผลขึ้นมาคือการกระทำเช่นนั้น อันนั้นท่านเรียกว่าข้อศีล 

ที่เราพูดตามภาษาของเราเนี่ย มันก็ลำบากอยู่ ถึงวันพระ ไปรักษาศีล ไปรักษาศีล ไอ้ความเป็นจริงนั้นมันเป็นคำพูดที่ตอบเรื่อยๆกันมา เป็นประเพณี วันนั้นไปรักษาศีล เมื่อเราเพ่งความหมายแล้วก็ ศีลน่ะเห็นจะโง่กว่าเราละมั้ง เราจะต้องไปรักษามัน ถ้าเราเพ่งไปนะ ศีลมันคงจะไม่ดีขนาดเราไปรักษาศีล แน่ะ มันจะไปอย่างนั้น ถ้าเราพูดตามความเป็นจริงแล้ว ศีลนั่น เราไม่ต้องไปรักษาท่านหรอก ท่านดีแล้ว มารักษาตัวเรานี่เอง รักษากาย วาจา ใจของเรานี่ ดีแล้ว ศีลมันก็เกิดขึ้นมา เราไม่ต้องไปรักษาศีล ไปรักษาตัวของเรานี้ คำพูดอันนี้มันพูดสูงเกินตัวไปซะมั้ง ว่าเราก็ไปรักษาศีล บางคนไม่รู้จักศีลเลย ก็เข้ามาวัด ไปไหน…ไปรักษาศีล ไปรักษาศีล ก็คิดว่าศีลนั่นมันเป็นของยากของลำบาก มันเป็นของสอนยาก ไอ้ความเป็นจริงมันสะท้อนกลับมาแล้วว่า มารักษาตัวเรานั่นเอง เมื่อรักษาตัวเราดี ไม่มีโทษ ศีลมันก็เกิดขึ้นมาที่ตรงนั้น ฉะนั้นศีลนี้มันจึงไม่อยู่การพูด อยู่กับการพูด มันอยู่กับการกระทำ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนให้ฟังอย่างนี้ ให้ความดีเข้าไปฝังในใจ ถ้าความดีเข้าไปฝังในใจแล้ว ไอ้ความทุกข์มันก็ถอนออกไป ห่างออกไป มันเป็นฉันนั้น ทีนี้เรามองไม่เห็น ไอ้สิ่งที่มันเบาที่สุด มันก็เห็นมันหนัก สิ่งอะไรมันหนัก ก็เห็นมันเป็นเบา สิ่งอะไรที่มันผิด เราก็เห็นว่ามันถูก สิ่งอะไรที่เห็นว่าถูก อะไรมันผิด 

อย่างอาตมายกตัวอย่างให้ฟังว่า วันหนึ่งนั่งอยู่ในวัดเรานี่แหละ มีโยมคนหนึ่งมาจากอำนาจเจริญ เราเคยเป็นปราชญ์มา เคยบวชเป็นพระมา ออกเป็นฆราวาสก็เป็นคนทำบุญสุนทานตลอดเวลา ตาแก่คนนั้นวันหนึ่งน่ะ แกก็มาจากอำนาจเจริญ ถามว่า โยมมีทุกข์หลาย มีทุกข์มาหลายวันแล้ว แก้อะไรไม่ตก นึกถึงหลวงพ่อองค์เดียว จะให้ผมมีความสว่างที่ไหน ผมไม่นึก เห็นแล้วก็กราบมา กระสับกระส่ายมาเลย ทำใจไม่ค่อยสบาย มากราบลง โอดโอยครวญครางมาอย่างนั้นแหละ อาตมาก็เลยว่า “โยมมันเป็นไง” “ผมทุกข์มาก” “ทำไมมันทุกข์มาก” “เรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ มันเรื่องใหญ่เหลือเกิน” พูดก็น้ำตามันก็ไหล ทั้งพูดเรื่องมันใหญ่ น้ำตามันก็ไหลออก “หยุดก่อนสิโยม พูดให้ฟังเรื่องอะไรมันเรื่องใหญ่นักหนาหละว่า” แล้วท่านก็เลยคลานเข้ามากราบใกล้ๆ กระซิบว่า “หลวงพ่อ เมียผมตาย” แน่ะ ฮ้า บอก เมียผมตาย ฮื้ม นึกว่ามันเรื่องใหญ่หวะ อันนี้มันเรื่องเล็กนี่หน่า มันเกิดๆตายๆ เค้าเกิดกันมาตลอดกาลตลอดเวลาแล้ว ทั้งเกิดทั้งตายทั้งนั้นน่ะ เห็นมั้ย คนเกิดไม่ตาย เห็นมั้ย เกิดมามันต้องตาย เรื่องเกิดเรื่องตายไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันเรื่องธรรมดาของเรา 

นี่ ขนาดนี้มันยังมองไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ จนจะแก้ไม่ไหวเลย จนกว่าที่ว่าไม่เคยเห็นคนเกิด ไม่เคยเห็นคนแก่ ไม่เคยเห็นคนตาย ไอ้ความเป็นจริงน่ะ มันเกิดมันตาย เราไม่รู้ว่ากี่ศพมาแล้ว เราไม่ได้อ่าน ทำไมไม่พิจารณา ทำไมให้เป็นเรื่องใหญ่ จนเดือดร้อนกระวนกระวาย กินไม่ได้นอนไม่หลับ อาตมาบอก คิดใหม่สิ อันนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก พ่อของโยม อยู่มั้ย…ไม่อยู่ เค้าเป็นไหน ตายแล้ว นั่นแหละ ตายแล้ว แม่ แม่ก็ตาย…แม่ก็ตายแล้ว มันจะเรื่องใหญ่อะไร มันจะอยู่ เราเป็นลูกเราจะไม่ตาย หือ อันนี้มันเรื่องธรรมดา โยมไปย้อนคิดใหม่สิว่า ไปคิดเรื่องใหญ่ มันก็ใหญ่ทั้งนั้นแหละ มันเรื่องเล็กๆ เรื่องธรรมดา เรื่องคนเกิดมาในโลกมันเป็นอยู่อย่างนั้น มิฉะนั้นเกิดมาพระพุทธเจ้าท่านให้รีบทำคุณงามความดี เพราะมันเป็นอย่างนั้น ก็เลยพูดแอบไปแอบมา ก็เลยเห็นโยมผู้หญิงคนหนึ่ง นั่งอยู่ข้างๆด้วย นั่นแน่ะ โยมมันกับใครน่ะถ้าแม่บ้านตายแล้ว อันนี้แม่บ้านอีกคนหนึ่ง อ้าว ทำไมมีหลายคนเหลือเกินแล้ว มันยังดีนะ นั่นมันสองคน คนหนึ่งตาย คนหนึ่งยัง บางคนมีแม่บ้านคนเดียว ตายคนเดียวก็หมด มันยังร้ายกว่าโยมอีก เอาหละโยมพอแล้ว ตายคนหนึ่ง ยังอยู่คนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว ให้ไปคิดใหม่ แต่คนนั้นก็นั่งฟัง 

นี่คือความคิดของคน เราไม่รู้จัก ไม่รู้จักพอ คือคนไม่รู้จักพอ ก็คือคนไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักเจ็บ ไม่รู้จักตาย ไม่รู้จักความเกิด แก่ เจ็บ ตาย  บางคนจะไปเทศน์ว่า เกิดๆ แก่ๆ เจ็บๆ ตายๆ ฟังไม่สบายใจเลยนะ ยิ่งคนฝรั่งเมืองนอก ไปพูดเรื่องแก่ให้ฟัง ลุกหนีเลย เขาไม่อยากแก่ เขาอยากเป็นของเขาอยู่อย่างนั้น ว่าคนเฒ่าชะแร แก่ชราอย่างนี้ไม่เอาอ้ะ ไม่อยากได้ มิฉะนั้นเมืองนอกคนแก่เค้าทิ้งอ้ะ คนแก่ๆ ๕๐ ๖๐ เค้าทิ้งอ้ะ ไม่เหมือนเมืองไทยหรอก เค้าทิ้ง หนุ่มๆสาวๆลูกเค้าเกิดมา เค้าหนีไปเที่ยวไป คนแก่เค้าทิ้งไปตะพึด แก่แล้วทิ้งทั้งนั้นน่ะ ไม่ต้องไปเก็บหรอก เอาเข้าใส่ในโกดัง

ฉะนั้นพวกคนไทยเรามีธรรมะให้พิจารณาให้เห็น อย่างอยู่ชลบุรี เอาคนแก่ไปเก็บไว้เลี้ยง อาตมาเคยเข้าไปดู โอ้ย คนแก่ ๗๐ปี ๘๐ ปีอยู่นั่นแหละ ให้พยาบาลมารักษา อาตมาเข้าไปเทศน์ตรงนั้น นึกๆไปก็น่าสลดสังเวช นึกไปนึกมาก็เหมือนเปลือกแตงโมเขาเอาไปทิ้ง เค้าจิ้มเอาเนื้อมาทานแล้ว มีแต่เปลือก เค้าก็ทิ้งลงคลองนั่นน่ะ ไปอยู่ชลบุรีที่เลี้ยงคนแก่ก็เหมือนกัน เข้าไปในที่นั่น เหมือนเปลือกแตงโม มีแต่คนแก่ๆทั้งนั้นแหละ คนหนุ่มๆเขาหนี เขาก็ไม่ไปหาหรอก หนีไป ไปหาเข้าโรงหนัง เข้าลิเกนคร หาลำวงเล่นตามสบาย ไอ้คนแก่ก็รับบาปไปเถิด แก่ไปเถิด ไม่มองถึงเรา มิฉะนั้นเมืองนอกก็เป็นไง เอาคนแก่ไปทิ้ง คนหนุ่มเจริญไป ทุกคนไอ้คนที่หนุ่มพอแก่ก็เอาไปทิ้งเหมือนกัน กรรม อาตมาพูดกับชาวฝรั่งว่านี่คือกรรม กรรม แต่ก่อนเราก็ทิ้งคนแก่มานี่ ทีเราแก่คนหนุ่มเค้าก็ทิ้งเราเหมือนกัน ต้องเป็นอย่างนี้ ถ่ายทอดไปตลอดเวลา มันแก้ไม่ได้ เป็นอย่างนั้น 

อันนี้น่ะความอบอุ่นของเมืองนั้นนะ ไม่เหมือนเมืองไทยเรา เมืองไทยเรานั้นน่ะ เทศน์ธรรมะให้ฟัง ให้เห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายว่ามันเป็นธรรมะ อันเป็นที่น่าสลดสังเวช เมื่อเราจะทำอะไรแล้วก็ต้องได้พิจารณา เมื่อเราหนุ่ม เราก็หวนถึงคนแก่ เมื่อเห็นคนแก่แล้วหวนถึงคนหนุ่ม มันเลยไปเป็นเกาะ มันเลยเกาะกันเหมือนลูกโซ่อย่างนี้ ฉะนั้นพระพุทธองค์สอนให้มีความเมตตาอุปการะบุญคุณของบุคคลที่มีคุณ ทางนอกเค้าไม่สอนกันอย่างนี้ เค้าสอนว่าคนแก่ก็แก่ไป คนหนุ่มก็หนุ่มไป มันเรื่องของใครๆเท่านั้นแหละ มันเป็นไปซะอย่างนี้ เมื่อพูดไปตามความเป็นจริงน่ะ หลักธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราน่ะ เลี้ยงลูกมาก็รัก เมื่อรักก็อยากจะให้รู้จักบุญคุณของพ่อแม่เท่านั้น ถ้าเลี้ยงมา ไม่มีบุญมีคุณ ก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงมาทำไม อันนี้พูดถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา แก่ขนาดไหน คนเมืองไทยก็ไม่ทิ้งกัน อันนี้เป็นความอบอุ่นในเมืองไทย 

ฉะนั้นพวกเรานี่ก็เหมือนกันฉันนั้น เราจะต้องพิจารณาธรรมะ พิจารณาธรรมะมันเป็นสังขาร สังขารมันต้องเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปๆๆเรื่อยๆ ไอ้ความเปลี่ยนไปนั้นน่ะ มันเกิดมาแล้ว เป็นเด็ก แล้วก็เป็นหนุ่ม แล้วก็เป็นแก่ เฒ่าชะแร แก่ชรา แต่ว่าจิตใจของคนเรานั้น ไม่อยากให้มันเปลี่ยนไปอย่างนั้น หนุ่มแล้วไม่อยากให้แก่ แก่แล้วไม่อยากให้ตาย อยากให้อยู่อย่างนี้ๆ นี่คือความเห็นผิดเสียแล้ว อันนี้มันอยู่ไม่ได้หรอก มันเรื่องอนิจจัง มันเรื่องการเปลี่ยนแปลงนี่เป็นธรรมดาของมันแล้ว ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง คนเราอยู่ในโลกนี้ไม่ได้ 

เช่นมะม่วงต้นนึง มันก็เปลี่ยนขึ้นมา มันถึงโตขนาดนี้ จึงเป็นลอกออกผลให้เราทาน ผลมันนี่ เพราะความเปลี่ยนแปลงมาจากเมล็ดมัน จากเบี้ยเล็กๆมันเป็นต้นใหญ่ๆมาเปลี่ยน เปลี่ยนจนมาถึงมันเป็นดอก จึงเป็นผลเล็กๆ เมื่อมันเกิดมาเป็นผลเล็กๆ มันก็เปรี้ยว มันก็เปลี่ยนไป มันห่ามน่ะ ไอ้ความเปรี้ยวมันก็หายไป เมื่อมันสุกมันก็เปลี่ยนเป็นหวาน รสของมัน ถ้าเราจะไม่ให้มันเปลี่ยนจะเกิดประโยชน์อะไรนะ เปรี้ยวไป มันเปรี้ยวอย่างนั้น ดีไม่ดีจะไม่ได้กินมะม่วงสุกซะด้วยนะ ไอ้ความเปลี่ยนแปลงมันมีแล้ว ลมหายใจเราเข้าไปแล้วก็ออก ออกแล้วก็เข้า เข้าแล้วก็ออก เราจะอยู่มาตลอดทุกวันนี้ก็เพราะอาการมันเป็นอย่างนี้ เพราะอนิจจังมันเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง อยู่มั้ย หายใจเข้าไป หายใจอึดใจเข้าไปแล้วไม่ออกน่ะ นี่ ให้หยุดได้มั้ย ออกแล้วไม่เข้ามา มันก็ตายเท่านั้นแหละ เข้าไม่ออกมันก็ตาย ออกไม่เข้ามันก็ตาย มันอาศัยการเปลี่ยนแปลง มันเข้าไปแล้วก็ออกมา ออกแล้วก็เข้า เข้าแล้วก็ออก นี่เราอยู่ได้เพราะความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ 

มิฉะนั้นเป็นต้นเราควรระลึกถึงธรรมะเมื่อเรามีชีวิตอยู่ เราควรมองดูข้างๆว่า อันนี้พ่อแม่ของเรา อันนี้พี่น้องของเรา อันนี้ลูกหลานของเรา อันนี้ตัวของเรา มันก็พร้อมไปเป็นอย่างนี้ตลอดกาลตลอดเวลานี่ เพราะธรรมะมันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราจึงทำความเข้าใจ มาฟังธรรมะคือมาทำความเข้าใจกัน เมื่อทำความเข้าใจกันให้รู้จักความเป็นจริงก็ยอมรับว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น เกิดมาวันนี้ก็ต้องยอมรับว่ามันก็ต้องเป็นอย่างนั้น วันต่อไปมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น วันต่อๆไปมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น ของมันเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น มันเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นทุกเวลา 

เมื่อเราเข้าใจธรรมะเช่นนี้ ความเป็นอยู่ก็ดี ความพลัดพรากจากกันก็ดีเป็นธรรมดา เห็นมั้ยที่เราสวดมนต์กัน ให้พิจารณาอย่างนี้ทุกวันๆเถิด พิจารณากันรึเปล่าก็ไม่รู้ เมื่อสวดก็ให้พิจารณากันทุกวันๆเถิด ทุกวันๆ ทำวัตรทุกวันอย่างนี้ ถ้าหากว่ามันเปลี่ยนแปลง เราก็ไม่ควรเสียอกเสียใจ ไม่ควรทำใจให้มันเป็นทุกข์ เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้น สัจธรรมมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ให้ความเห็นเราเป็นอย่างนี้ เมื่อเราได้ฟังธรรมบ่อยๆนะ ความบรรเทาทุกข์อันนี้มันจะพ้นขึ้นมา มันก็จะไม่ทุกข์ มันบรรเทาๆไป บรรเทาไป ให้มันน้อยไป มันน้อยไป กว่าที่มันจะหมดทุกข์ เพราะเห็นความเป็นจริงอย่างนั้นของธรรมะ ได้แค่นี้ก็เรียกว่าเรามีหลักที่สำคัญอยู่แล้ว การภาวนาของเรา ความเป็นอยู่ของเราจะมีที่พึ่งที่พำนัก พุทโธ เม สะระณัง วะรัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง พระพุทธเจ้าของเรามาเป็นที่พึ่ง พระธรรมมาเป็นที่พึ่ง พระสงฆ์มาเป็นที่พึ่ง ที่พึ่งอื่นไม่เหมือนพระพุทธเจ้า ที่พึ่งอื่นก็ไม่เหมือนพระธรรม ที่พึ่งอื่นก็ไม่เหมือนพระสงฆ์ เพราะความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น เมื่อเราคิดเช่นนี้ ความบรรเทาทุกข์เรามันก็หายไปๆ น้อยไปๆ ตกลงอยู่ที่มาเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ไอ้คนเกิดมา ก็เห็นว่าเป็นธรรมดาที่มันเกิดมาแล้ว เกิดมาแล้วมีความเป็นอยู่ก็เป็นธรรมดา ไอ้ธรรมดามันเป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าเราเข้าใจเช่นนี้ ความบรรเทาทุกข์ของเราก็น้อยไปๆ ความอยู่เย็นเป็นสุข ความสงบระงับมันก็ตั้งขึ้นมาในที่ใจของเรานั่นเอง อันนี้เป็นโอวาทคำสอนของพระพุทธองค์ของเรา มิฉะนั้นจงพากันตั้งอกตั้งใจ ให้เข้าใจธรรมะ ฟังแล้วให้เข้าใจธรรมะ ให้พิจารณาอย่างนั้น