Skip to content

เข้าถึงตัวพุทธะด้วยการปฏิบัติสมาธิ

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย

| PDF | YouTube | AnyFlip |

คุยกันเล่นธรรมดาหละพอได้ คุยกันไป อะไรกันไปก็ดี จะให้เทศน์เป็นกิจจะลักษณะนั้นไม่เป็น ไม่จริง เกี่ยวกับตอนนี้คอหอยไม่ค่อยดีด้วย เสียงไม่ค่อยจะออก ต้องตั้งใจฟังดีๆถึงจะได้ยิน เพราะเสียงมันรู้สึกมันแซบแซ่ยังไงชอบกล เสียงมันไม่แหลม เสียงมันทู่ๆ ก็ต้องตั้งใจฟังกันดีๆก็แล้วกัน 

คือว่าการเทศน์นี้พวกเราก็ได้ยินได้ฟังกันมามาก ครูบาอาจารย์ท่านมาอบรมสั่งสอนพวกเราเนี่ยมากมายเหลือเกิน แถมยังไม่พอ ทางด้านวิทยุพวกเราก็ฟังกันมาจนเหลือเกิน แล้วก็นอกจากนั้นแล้วอีก หนังสือตำรับตำราต่างๆ พวกเราก็ศึกษากันมามาก สรุปแล้วหมายความว่าความรู้ความเข้าใจนั้นพวกเรามีพอ สมควรพอที่จะปฏิบัติธรรมได้แล้ว 

ถ้าเราศึกษาเพื่อปฏิบัติธรรมนั้น ได้มาก อย่างอาตมาเองเคยอยู่ในสำนักของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ซัก ๕ ปีกว่า แต่ก็ไม่ได้อยู่ประจำจำเจหรอกนะ เข้าๆออกๆอยู่ ก็เป็นเวลาห้าปีกว่าๆ ก็เป็นว่าท่านก็มรณภาพไป อาตมาไปสังเกตดูแล้วท่านอาจารย์ ท่านก็ไม่ใช่ว่าจะสั่งสอนอะไรมากนักเลย ท่านก็แนะบอกว่า เราศึกษาเพื่อปฏิบัตินี้ไม่ใช่จะมากนักหรอก ท่านก็ให้นัยนโยบายนิดๆหน่อยๆ แล้วพวกเราก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ พอค่ำๆท่านก็ให้อีกนิดๆหน่อยๆอะไรเหล่านี้ ต่อเติมไปทุกวัน เราก็ได้ยินได้ฟังมาทุกวันก็ประพฤติปฏิบัติไปทุกวัน แล้วก็ดูปฏิปทาข้อปฏิบัติจากท่าน 

ในระยะการแสดงออกของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระน่ะ เท่ากับเป็นเครื่องจูงใจให้พวกเราเข้าใจความจริงว่า อย่างหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ คนอื่นจะเข้าใจหรือไม่นั้นก็สุดแล้วแต่ แต่สำหรับอาตมาเองเข้าใจว่าท่านน่าจะเป็นพระอรหันต์ เพราะเท่าที่สังเกตดูแล้ว รู้สึกท่านสมบูรณ์เหลือเกิน กิริยาภายนอกทุกอย่างนี้ ท่านสมบูรณ์ ทำให้พวกเรามองเห็นเนี่ยเกิดความเลื่อมใสมาก 

เพราะฉะนั้นความเลื่อมใสมีต่อการแสดงออกกับหลวงปู่นี่ ทำให้พวกเราเชื่อ จึงได้ยอมรับอุบายวิธีต่างๆจากท่านแนะนำพวกเราทุกอย่างที่ท่านให้ คือพวกเราไม่ต้องเอาไปกลั่นกรอง ไม่ต้องไปวิเคราะห์ ท่านว่ายังไงก็อย่างนั้น แดงก็แดง ดำก็ดำ เราก็ยอมรับ ดำเนินตามปฏิปทาที่ท่านให้พวกเราเท่านั้น การดำเนินสืบมาเป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นพวกเราเนี่ยเข้าใจธรรมะกันมาก ได้ศึกษามามาก จากครูบาอาจารย์ก็มาก จากตำรับตำราจากวิทยุอะไรเหล่าเนี้ย ฟังกันเหลือเกิน แล้วพวกเราแถมยังไม่พอนะ ยังสอนผู้อื่นได้ด้วย อันนี้สอนผู้อื่นได้ แต่สำคัญที่ว่าใจของเราไม่ยอมรับสิ่งที่เรารู้ ทำไมถึงว่าไม่ยอมรับ พวกเราก็ย่อมรู้ตัวของเราได้ดีว่าพวกเราเวลาเนี้ยมันรู้โดยสัญญาเท่านั้น สอนคนอื่นได้ อย่างอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สัญลักษณ์ของอริยบุคคลเนี่ย ไม่เกินจากนี้ไปเลย อันนี้พวกเราก็รู้ อนิจจังคืออะไร ทุกขังคืออะไร ทุกข์ทางไหนบ้าง กายหรือใจ อนัตตาไม่ใช่อาตมะตัวตนเราเขาอะไรเลย เพียงแค่ธาตุโลกประชุมกันอยู่ ต้องสลายไปตามกำลังของธาตุโลก เราพูดได้ แต่ใจของเรายอมรับหรือไม่ มีแค่นั้น 

เพราะฉะนั้นวิธีที่ทำให้ใจของเรานั้นรับสภาพความเป็นจริงเหล่านั้น เราจะทำยังไง ก็มีกันแค่นั้น ทำอย่างไรถึงจะยอมรับ ถ้าใจของเรายอมรับสภาพความเป็นจริงนั้นแล้ว เราก็จะเป็นอริยบุคคลขึ้น หรือถ้าไม่อย่างนั้น ถ้ายอมรับซะว่าสภาพทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นทุกข์ สภาพทั้งหลายเหล่านี้มันไม่เที่ยง สภาพสิ่งที่เรากลังหลงใหลอยู่นี้ก็ไม่ใช่อาตมะตัวตนเราเขาอะไร แค่ธาตุประชุมกันอยู่เท่าเนี้ย ขอให้ใจของเรารับแค่เนี้ย ความรู้สึกทางด้านใจจะเปลี่ยนจากเดิม เป็นอย่างอื่นไปอีก ความทะเยอทะยานเห่อเหิมต่างๆนั้นจะหมดลง แต่ไม่ใช่ปฏิเสธ คือเราก็ดำเนินตามที่เราจะดำเนินได้ ตามวิถีทางของเราซึ่งเป็นผู้มีธรรมะเป็นเครื่องเป็นอยู่นั่นเอง 

เพราะฉะนั้นจึงอยากให้พวกเราเนี่ยได้มีโอกาสบำเพ็ญอย่างโฆสกอาจารย์ที่ปรารภว่า พวกเราเข้าใจธรรมะกันดีเหลือเกิน เข้าใจกันกว้างขวางไม่ใช่น้อย แถมเป็นครู เป็นอาจารย์สอนผู้อื่นได้ด้วย แต่แล้วทำไมใจของเราถึงไม่ยอมรับตามสภาพความเป็นจริงเหล่านี้ สิ่งที่เราเห็นมา คนเจ็บ คนแก่ คนตาย เราเห็นทั้งนั้น แต่ใจของเราทำไมจึงไม่แยกออกว่า อันนั้นคนตายก็คือคนตาย อันนี้คนเป็นก็คือคนเป็น ทำไมไม่มองเห็นคนตายกับคนเป็นก็คืออันเดียวกัน อะไรเหล่าเนี้ย ทำไมเจ้าไม่ชัดเจน ทำไมใจของเราไม่ยอมรับ แน่นอนอย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะเกิดความเศร้าสลด ก็ชั่ววูบแล้วก็หายไป มันเป็นอย่างนั้น 

ทำยังไงใจของเราจะยอมรับว่าที่เราเดินกันไปอย่างนี้ก็เดินไปหาจุดจบของเรา คือความตายนั่นเอง อันที่ตายไปแล้วที่เราเห็นก็คืออันนี้ เหมือนกัน จะต้องเป็นเหมือนกันทั้งสองอย่าง จะทำให้เราเกิดความเศร้าสลด แล้วก็วางต่อสิ่งที่เรากำลังฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม แล้วก็คลายจากความหลงในสิ่งที่เราหลงอยู่เวลานี้ เราจะทำยังไงถึงจะเป็นไปได้ ก็มีอยู่วิธีเดียวคือการบำเพ็ญนี่เอง ถ้าพวกเราสามารถบำเพ็ญให้เป็นไปได้ สร้างอำนาจส่วนคุ้มครองให้สมบูรณ์ขึ้น สามารถบังคับจิตของเราได้อย่างสมบูรณ์ อยู่ใต้อำนาจส่วนคุ้มครองแน่ๆหละ จิตเราว่างั้นเถอะ เราก็สามารถที่จะน้อมนำสภาพความเป็นจริงเหล่านั้นมาให้ใจของเรายอมรับเช่นกัน 

ในเมื่อใจของเรายอมรับนั่นแหละ เราจะได้รู้ว่าอะไรคืออะไรชัดเจนเข้าไปอีก คือขอให้รับอย่างเดียว ก็ย่อมสามารถก็รู้สิ่งที่ยังไม่รู้ต่อไปอีก ในเมื่อรู้สิ่งที่ยังไม่รู้ต่อไปอีก มันก็รู้สิ่งที่ลึกเข้าไปอีก ส่วนหยาบรู้ เราเข้าใจอยู่แล้ว ส่วนกลางก็ย่อมรู้ จนกระทั่งรายละเอียดของกิเลสต่างๆอันเป็นภพของจิต ที่เชื่อมต่อกัน มีรูปลักษณะอย่างไรเราก็จะเข้าใจหมด เราก็จะมองเห็นสภาพของจริงอย่างอื่นได้ชัดเจนขึ้นมา นี่เป็นอย่างนั้น 

แต่บัดนี้พวกเรายังไม่มีความสามารถที่จะสร้างอำนาจส่วนคุ้มครองขึ้นมาให้สมบูรณ์ สามารถบังคับให้จิตของเรายอมรับต่อสภาพความเป็นจริงเหล่านั้นเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้พวกเราคุยได้แต่ปาก พูดได้แต่ปาก ใจไม่ยอมรับ จึงได้เป็นปุถุชนกันอยู่ปัจจุบันนี้ นี่เป็นอย่างนั้น 

นี่อีกอย่างหนึ่งถ้าเราสามารถทำสมาธิให้จิตของเรายอมรับสภาพความเป็นจริงได้ เราจะเห็นคำว่า “พุทธ” จะได้เห็นคำว่า “พุทธ” อย่างถูกต้อง 

อาตมาเองโดยความจริงแล้วไม่ใช่ชาวพุทธโดยกำเนิด อาตมาเป็นชาวต่างศาสนา แต่ว่าจิตใจผูกพันเหลือเกิน ผูกพันทางด้านพุทธมาก มีนิสัยทางนี้มากเหลือเกิน มีงานอาจารย์นาค โฆโส สมัยก่อนไปพักอยู่ที่บ้านใด แอบไปฟังธรรมะบ่อย ถูกลงโทษบ่อย ถูกมัดตากแดด ถูกตีบ่อยๆ แต่ก็พยายามหาอุบายวิธีหลบหนีไปฟังจนได้ เพราะชอบเหลือเกิน และก็ขโมยเอาธรรมะเข้าบ้านบ่อย ถูกตีบ่อย ลงโทษบ่อย ไม่สะดวกในการศึกษาเลยในยุคสมัยกระโน้น ลำบากเหลือเกิน จนกระทั่งต่อมาท่านผู้เป็นหัวหน้าในลัทธินั้นๆท่านเสียชีวิตไป เราก็มีอิสระเต็มที่ในการศึกษา แล้วก็มาพิสูจน์ดูว่า เอ้ ลัทธิเดิมของเราเนี่ยมียังไง เค้าได้ประกอบพิธีกรรมเป็นภายนอกเป็นแก่นแท้ของศาสนา ในเมื่อเข้ามาศึกษาทางพุทธแล้ว โอ้โห มันแตกต่างกันเหลือเกิน แตกต่างกันมาก 

ยิ่งเข้าไปอยู่ในสำนักของหลวงปู่มั่น ไปเห็นความเป็นอยู่ของหลวงปู่มั่น ซึ่งความดีของท่านที่แสดงออกภายนอกนั้นมากมายเหลือเกิน ไม่มีอะไรที่จะคณานับได้ ถ้าจะมองถึงเมตตาพรหมวิหารธรรมก็ดี ประจำวันการแสดงออกซึ่งมีกิเลสนำหน้าหรือไม่นั่น เราสามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่มี ท่านมีความเมตตาอารีต่อพวกเราจริงๆ อะไรก็แล้วแต่ท่านจะมีอุบายวิธีแนะนำพวกเราเนี่ยให้สร้างอำนาจคุ้มครองเข้าบังคับจิต จนกว่าจิตจะยอมจำนนต่ออำนาจส่วนนั้น เพื่อจะได้เข้าใจสภาพความเป็นจริงอันนั้นให้ถูกต้อง และใจของเราจะได้คลายต่อสิ่งที่เราหลงอยู่ และก็จะได้เข้าไปสู่จุดที่ละเอียดต่อไปตามลำดับ ท่านจะคุมพวกเราอยู่ตลอดเวลา 

ในเมื่อไปเห็นแล้ว ยังมีความปลื้มใจเหลือเกินว่า เราเกิดมาชาตินี้ไม่เสียชาติเกิด เพราะเราได้เห็นพระอรหันต์คือหลวงปู่มั่น อันนี้ออกอุทานในใจได้ และมานึกว่า เราไม่ได้เห็นอริยบุคคลในครั้งสมัยพุทธกาล แต่เราเห็นอริยบุคคลเพียงองค์เดียว ได้แก่หลวงปู่มั่น เราก็เกิดความภาคภูมิใจ นึกว่าไม่เสียชาติเกิด ถึงแม้จะตาย เราก็ภาคภูมิใจ เพราะเราได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ แล้วสมบัติทั้งหลายเหล่านั้นเราก็คิดว่า เราคงพอที่จะทำได้ เพราะมองถึงหลวงปู่มั่นแล้วก็ ไม่เห็นมีอะไรท่านจะวิเศษกว่าเรา มองแล้วก็เหมือนๆพวกเรานี่เอง ก็คิดว่าคงพอจะทำได้ ก็ตั้งหลักปฏิบัติกันอย่างที่เรียกว่า เอาชีวิตแลก บุกกันอย่างที่สุด ก็มีส่วนได้บ้างเล็กๆน้อยๆ 

แต่ก็ภาคภูมิใจและกล้าพูดได้ว่า ถ้าผู้ใดสามารถทำสมาธิเป็นไปได้ เข้าใจคำว่า “พุทธ” ในเมื่อเข้าใจคำว่า “พุทธ”ได้แล้วเนี่ย เราจะรักศาสนาพุทธของเราน่ะยิ่งชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างอุทิศให้ศาสนาแน่นอน และทุกคนน่ะก็เข้าใจว่าเข้าถึงพุทธได้ 

น่าเสียดายชาวพุทธ ซึ่งประกาศตนเป็นพุทธมามกะ เข้ายังไม่ถึงพุทธนั่นนะสิ เข้ายังไม่ถึงพุทธ ยังงมงายวิ่งตามเงาของศาสนาอยู่ ยังไม่ได้เข้าถึงแก่นแท้ของศาสนา เปรียบเหมือนที่อาตมาปรารภว่า ลัทธิอื่นของเขาเนี่ย พิธีกรรมภายนอกเป็นแก่นของศาสนา จะลัทธิอะไรก็แล้วแต่ ได้ศึกษามาพอสมควร จนกระทั่งลัทธิเดิมของตัวเองก็เหมือนกันแค่นั้นแหละ แต่สำคัญที่สุดเรื่องพุทธ นี่ แหม รู้สึก พิสดารมาก เป็นสิ่งมหัศจรรย์มาก ถ้าผู้ใดเข้าไปถึงแล้วจึงจะรู้ว่า คำว่า “พุทธ” นี่ช่างพิลึก คำว่า “พุทธ” นี่ช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ในเมื่อผู้ใดเข้าไปได้ เข้าไปถึงแล้วนี่ จะรับรองว่าผู้นั้นเนี่ยจะปลื้มใจที่สุดในชีวิต และจะออกอุทานทันทีว่า เราไม่เสียชาติเกิด ต้องออกอุทานแน่ๆ ว่าไม่เสียชาติเกิด 

เพราะฉะนั้นทำไมพวกเราจึงออกอุทานว่าไม่เสียชาติเกิดกันหละ ก็อยู่ที่การปฏิบัติคือเกี่ยวกับการทำสมาธินั่นเอง เพราะฉะนั้นอยากให้พวกเราทำสมาธิ เพื่ออุบายวิธีที่จะสร้างอำนาจสิ่งคุ้มครองนี้ให้สมบูรณ์ขึ้น และก็จะทำให้ใจของเราจำนนต่ออำนาจส่วนที่พวกเราสร้างขึ้นมา แล้วเราจะใช้โอปนยิกธรรมน้อมธรรมะ หรือสิ่งเราเห็น สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังเหล่านั้น เข้ามาเพื่อสอนใจของเราให้ยอมรับต่อสภาพความเป็นจริงเหล่านั้นได้ อันนี้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอยากจะขอร้องพวกเราเนี่ยให้ได้เร่งบำเพ็ญกัน คุยมากมันก็มาก แต่อยากให้มีโอกาสจะบำเพ็ญกัน ได้เข้าถึงพุทธกันเสียทีเถอะ นะพวกเรา

แต่สำหรับวันนี้อาตมาบอกไม่ถูกว่า ความปีติและปลื้มใจตั้งแต่ก้าวขึ้นมามองเห็นบรรดาพวกเราท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นพุทธมามกะอันแท้จริงเนี่ย มากมายเหลือเกิน สนใจทางด้านสมาธินี้ ปลื้มใจเหลือเกิน 

เท่าที่นั่งอาตมานั่งอยู่ที่วัดเขาสุกิมนี่ บอกตรงๆว่า วันหนึ่งอาตมาไม่ได้สาระอะไรทั้งสิ้น…ทำไม? คนที่เข้ามาปัญหาที่ถามนั้น มันไม่ใช่ปัญหาที่อาตมาจะตอบเลย ว่าอย่างนั้นก็แล้วกัน สารพัดแต่ที่จะให้แก้ ไม่ใช่แก้เรื่องของธรรมะ มันแก้ปัญหาของบุคคล นอกไปจากธรรมะอีกมากมายนัก เดี๋ยวก็บอกว่าเมียชอบเล่นไพ่ ไม่ยอมกลับบ้าน ผัวชอบหานโยบายออกไปเที่ยว บอกว่าติดงาน ไม่รู้จักกลับ ตีหนึ่ง ตีสอง ตีสาม ดิฉันเป็นโรคประสาทแล้ว ไม่ไหว ช่วยดิฉันด้วย มันก็มีแต่ไอ้เรื่องสารพัดปัญหาโลกแตกเท่านั้น

ส่วนทางด้านสมาธินั้น ฟังๆดูแล้ว อาทิตย์หนึ่งนะจะมีหรอกซักคนนึง บางทีเดือนสองเดือนนะ จะมีโผล่ขึ้นมาซักคนนึง มาถามอุบายวิธีเรื่องสมาธิ พอเค้าถามขึ้นมาปุ๊บ เราก็ดีใจรีบวางมือ เข้ามาสนทนากัน “คุณอยู่ที่ไหน คุณเป็นลูกศิษย์ของใคร อบรมมาจากไหน ทำมาแล้วกี่ปี ได้ผลอะไรบ้าง” 

บางท่านบางคนก็ แหม มันก็นอกลู่นอกทางเสียอีก นู่นน่ะ ไปมองเห็นผีเทวดา ทำสมาธิแล้วต้องการหูทิพย์ ตาทิพย์ ต้องการอำนาจปาฏิหาริย์ ต้องการอยากใหญ่ ต้องการอยากเก่ง อยากมีชื่อมีเสียง แท้ที่จริงกิเลสบัญชาให้ทำแท้ๆ มันไม่ใช่เรื่องจริงอะไรเลย แหม ฟังแล้วก็เศร้าสลดอีก ก็ต้องได้ปรับปรุงกันใหม่ แก้ไขกันใหม่จนกว่าเข้าลู่เข้าทางกันพอสมควร แต่ยังดีกว่าผู้ที่ไม่สนใจ 

อย่างมาเห็นพวกเรามากมายเหลือเกินเนี่ยสนใจทางด้านสมาธิ อาตมาอดปลื้มใจไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ทำใจเฉยๆ ไม่ให้ดีใจไม่ให้เสียใจ ทำยังไงเล่า ก็ในเมื่อได้เห็นของดีอย่างนี้ ไม่ให้ดีใจได้ยังไง ก็มันดีอยู่แล้วน่ะมันดีใจ ความดีใจเนี่ยอยากให้อาตมาพูด ปกติแล้วอาตมานี่ ให้พูดหละก็หลบ หลบมุม ไม่ค่อยสู้ แต่วันนี้ก็คิดอยากจะพูด ก็เลยต้องพูดเพราะว่า ไม่เห็นสิ่งที่ชวนให้อาตมาพูดนั่นเอง จึงอยากจะพูด 

เพราะฉะนั้นอยากจะให้บรรดาพวกเราทั้งหลายผู้เตรียมตัวมาดีแล้ว เรียกว่าเตรียมตัวมาดีนะ ซึ่งเป็นพุทธมามกะอันแท้จริง ไม่ใช่ผู้หลงเงาของศาสนา ไม่ใช่ผู้วิ่งตามเงาเสียแล้ว ผู้วิ่งเข้าหาแก่นแท้ของพระศาสนา อยากจะให้พวกเรามีโอกาสได้นั่งสมาธิกันเดี๋ยวนี้ เตรียมนั่งสมาธิกันเสียเลย เพื่อเข้าไปหาผลอันแท้จริงของสมาธิ เป็นอุบายวิธีที่ปลดจิตจากกิเลส เราจะได้เป็นอิสระหรือเป็นไทเสียเลย เอากันซัก ๓๐ นาทีนะ เอ้า ใครตั้งนาฬิกา ๓๐ นาทีว่ากันเลย ตั้งให้ติ๊งเลย ตั้งเลย เอ้า! เตรียมตัวเลย เอ้า นั่งสมาธิลองดูนะ 

ถ้าผู้ใดสุขภาพไม่ดีนั่งขัดสมาธิไม่ได้ พับเพียบก็ได้นะ พับเพียบก็ได้ หรือถ้านั่งขัดสมาธิได้ก็ขอให้นั่งขัดสมาธินะ วิธีนั่งขัดสมาธิเราก็ดูเองนะ อย่างเราก็เห็นพระพุทธรูปปางนั่งสมาธินะ เราก็ได้เห็น นี่ขาซ้ายวางลงก่อนแล้วก็ขาขวาวางทับลงไปนะ แล้วก็มือซ้ายวางลงก่อน หงายมือขึ้นนะ หงายมือขึ้น แล้วก็มือขวาวางทับลงไป ถ้าเราวางทับลงไปบางคนก็บอกว่า เอาหัวแม่มือชนกัน บางก็ห่างนิ้วนึง ไม่จำเป็น ไม่จำเป็นอย่างนั้นไม่จำเป็น คือวางลงไปแล้วมันถนัดไม่ต้องพะวง คือมันแน่น บางคนวางลงไปแล้วไม่ถนัด เหมือนจะหลุด ใจก็ไปพะวงอยู่ที่มือ ความเป็นสมาธิก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้นให้วางพอดีให้ดีเลย จะวางเข้าไปลึกๆซะเลยก็แล้วแต่สุดแล้วแต่เราจะทำได้นะ เอาให้ถนัดก็แล้วกัน 

แล้วก็ลองนั่งดู ถ้านั่งมันตรงนัก มันไม่สบาย หย่อนมันไปนิดๆ นั่งหาให้ดีที่สุด สบายที่สุด อย่าไปบังคับเค้า ปล่อยให้เค้าอยู่ในสภาพที่สบายที่สุด แต่ไม่ใช่ตามใจตะเลิด เรื่องทำสมาธิเราต้องทำให้สบาย ในเมื่อเรานั่งสบายกาย มันสบายทีนี้เรามากำหนดใหม่ ลมหายใจเข้าออก ดีที่สุด เป็นแบบสาธารณะดีเหลือเกิน เรื่องที่กำหนดลมหายใจเข้า เรากำหนดลมหายใจเข้าออกดีกว่า นะ 

หายใจเข้า หายใจออก เรารับรู้เฉยๆที่ปลายจมูก เอาปลายจมูกเป็นที่ตั้ง อยู่ที่ปลายจมูกละกันนะ เราอย่าไปวิ่งเข้าตามลม วิ่งออกตามลม ให้รับรู้ที่ปลายจมูกเฉยๆ รับรู้อยู่เฉยๆ หายใจเข้า หายใจออก รับรู้ ให้มีบริกรรมประกอบพุทกับโธ หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ แต่ไม่ออกเสียง เพียงแค่นึกในใจ พุท โธ พุทโธ 

แล้วลมหายใจเข้าออกอีกนะ อย่าไปแต่ง บางท่านบางองค์บอกต้องหายใจเข้าออกหนักๆแรงๆ ไม่ใช่ บางคนให้สูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ ไม่ใช่ ธรรมชาติธรรมดาของเค้า ปล่อยเลย เค้าจะหายสั้นหรือหายยาวเรื่องของเค้า ธรรมชาติ ให้สบายหลวมๆ ทำธรรมดาสบายๆ อย่าเจ็บอย่าดัน 

แล้วก็การกำหนดอีกหละ อย่าไปสะกด อย่าไปเพ่ง รับรู้เฉยๆ ถ้ามีคำว่าสะกด จะวิปริต คำว่าวิปริตนั้นจะไม่ปกติ อาจจะมึนงงศีรษะ หรือน้ำลายมันไหลแห้ง คอแห้งก็ดี หรือน้ำลายไหลไม่หยุดก็ดีอย่างนี้ เรียกว่าวิปริต ถ้าเรากำหนดถูกต้อง ไม่มีคำว่าวิปริต น้ำลายไม่ไหล คอไม่แห้ง มึนงงศีรษะอึดอัดหน้าอกไม่มี หรือบางทีถ้าเราสะกดไปเอง หากในเมื่อมีพลังแล้วนะ ปรากฏว่าตัวของเรานี่ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นๆๆ ตามนิมิต ปรากฏว่าเต็มห้องเลย อันนั้นก็ไม่ถูก ให้กำหนดใหม่ 

ถ้ากำหนดใหม่ถูกต้องนะคือปกติ ลมหายใจเข้าออกไม่มีละเอียดลง ปกติอยู่อย่างเดิม คำว่าแจ๋วอยู่อย่างเดิม ไม่มีอาการวิปริตเลย ทั้งลมหายใจเข้าออก ทั้งกิริยาอาการทุกอย่าง ไม่มีอะไรวิปริตนั้นเรียกว่าถูกต้อง ถ้าวิปริตขึ้นมาละก็ ผิดทันที เราก็กำหนดใหม่ ถ้ากำหนดถูก ไม่มีการเพ่งหรือกดดันตนเองนั้น จะปกติอย่างที่ว่า เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราอยู่ในสภาพคำว่าปกติทุกอย่างละกัน ต่อจากนี้ไปนั่งกันซัก ๓๐ นาที