Skip to content

อย่าอยู่อย่างประมาท

หลวงพ่อชา สุภัทโท

| PDF | YouTube | AnyFlip |

พวกพุทธบริษัททั้งหลาย บรรพชิตและฆราวาสซึ่งเป็นผู้มีจิตใจอันน้อมไปสู่คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทุกๆท่าน วันนี้เป็นกาลเป็นสมัยอันหนึ่ง ซึ่งทุกคนเราจะย่อมผ่านไปๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรกันอยู่ อันนี้เป็นวาทะ เป็นคำตักเตือนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ซึ่งเป็นคำที่พระองค์เน้นหนักไปในทางที่ให้พวกเราทั้งหลายดูตัวของตัวเอง มิฉะนั้นพุทธบริษัทบางกลุ่มบางเหล่าก็ยังปล่อยให้วันคืนมันล่วงไปๆ ไม่รู้จักว่าเราทำอะไรกันอยู่ในวันนี้ ในวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้หรือในวันที่มันล่วงมาแล้วนั่น โดยไม่มีสติกำหนดการ ปล่อยให้วันคืนมันล่วงไปๆว่า เรามีความดีหรือไม่ เรามีความชั่วหรือไม่ ในเวลานี้เราตั้งใจดีหรือไม่ หรือในเวลานี้เราตั้งใจผิดอยู่หรือไม่ หรือในเวลานี้เรามีคุณงามความดีอยู่หรือไม่ อย่างนี้ หาบุคคลที่จะมีความรู้สึกนึกคิดอยู่อย่างนี้ในตัวตนของเรานั้นก็น้อย 

ฉะนั้นวันนี้จึงเป็นวันอันหนึ่งซึ่งโบราณาจารย์ท่านว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ หรือสังขะสังขารล่วงไปนี่เดือนห้านี่เองนะ มันล่วงไป โบราณาจารย์เราถือวันนี้ มันรอบปี มันรอบปี อย่างไรอันนี้ก็ไม่ต้องสนใจมันหละ มันรอบอยู่ วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุทธ วันพฤหัส วันศุกร์ วันเสาร์ จะตั้งต้นวันไหนก็ได้ จะตั้งต้นแต่วันจันทร์ไปก็ได้ จะตั้งต้นแต่วันศุกร์ไปก็ได้ คือมันนับรอบไปๆเท่านั้นแหละ มันก็มารอบปีหนึ่ง ๑๒ เดือนมันเป็นปีหนึ่ง จะตั้งแต่ที่ไหนก็ได้ แต่ว่ามันติดสมมุติเขา ถึงจะรู้ปีเช่นนี้ กาลที่ล่วงมาที่เราเคยประพฤติปฏิบัติกันมานี่ ก็เรียกว่าจะมีความอยู่เย็นเป็นสุขได้เพราะมีความซื่อสัตย์สุจริต อยู่ร่วมกันเป็นหมู่หมวด มีความสุข มีความสบายก็เพราะมีศีลธรรม 

สมัยอาตมายังเป็นเด็ก กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คนแก่ทั้งหลาย ถึงสุดสงกรานต์ ที่เรียกว่า สังขะสังขารมันล่วงไป รวมกลุ่มกันโน้น ไปอำเภอ ไปศาลอำเภอน่ะ เค้าเรียกว่าไปถือน้ำกัน ไปกินน้ำกัน ไปสาบานน้ำกัน มีความซื่อสัตย์ต่อกัน อย่างในอำเภอนี้ จังหวัดนี้ ตำบลนี้ ถึงแม้จะอยู่คนละบ้าน คนละหัวใจก็จริง แต่ให้มีความเห็นเป็นกลุ่มอันเดียวกัน เพื่อให้มีความสุข ตั้งมั่นในศีลธรรมอันดี คือไปสาบานตัว ไปตั้งสัตย์ให้มีความซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย ต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างนี้ ให้กลัว ให้หวาด ให้สะดุ้ง ให้อายอยู่ทุกคนๆในนี้ บ้านเมืองของเราอยู่เย็นเป็นสุขเพราะศีลธรรม เพราะการประพฤติกาย ประพฤติวาจา ประพฤติใจดี เพราะทุกคนรวมกลุ่มกัน 

ถ้าหากว่าคนเราไม่มีความซื่อสัตย์ ดูมันตลอดมันทุกวันเนี่ย เราก็คงจะเห็นน่ะ บ้านเดียวกันก็ทะเลาะกัน พ่อแม่อันเดียวกันก็ทะเลาะกัน ประเทศเดียวกันก็ทะเลาะกัน นี่เพราะความหลง อันนี้ไม่ใช่ให้โทษใครทั้งนั้นหละ ไอ้ความหลงของคนเราเท่านั้นแหละ พี่กันน้องกันก็ตีกัน รบกัน ฆ่ากัน ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยอย่างเนี้ย นี่ก็เพราะอะไร มันเข้าใจผิด คนจะเข้าใจผิดก็เพราะเรียกว่าไม่คำนึงถึงศีลธรรมนั่นเอง 

ฉะนั้นพระบรมครูของเราท่านจึงตรัสว่าเป็นพุทธศาสนา พุทธศาสนานี่คือเป็นพุทธศาสตร์ คือเป็นศาสตร์อันหนึ่งที่ยอดเยี่ยมกว่าศาสตร์ทั้งหลาย ไอ้ศาสตร์ที่พวกเราทั้งหลายเรียนมาในโลกนี้ กลุ่มในชนในโลกเดี๋ยวเนี้ย จะเป็นถึงปริญญาจบด็อกเตอร์อะไรก็ตามทีเถอะ เป็นศาสตร์ที่ไม่จบ เป็นศาสตร์ที่ไม่สิ้นสุด เป็นศาสตร์ที่ส่อส่าย เป็นศาสตร์ที่มีความหยาบ เป็นศาสตร์ที่มีความยึด เป็นศาสตร์ที่ประกอบทุกข์ไว้เท่านั้นเอง นี่ไม่ปล่อยทุกข์ มีความรู้อย่างนั้นก็เรียกว่าศาสตร์ แต่ไม่เหมือนศาสตร์ของพระพุทธเจ้า พุทธศาสตร์นี้ถ้ารู้แล้ว ต้องรู้ปล่อย รู้วาง รู้เลิก มีโทษก็เห็นโทษ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อย รู้ปล่อยรู้วาง รู้ละ อันนี้ล้วนเป็นพุทธศาสตร์ ศาสตร์ทั้งหลายที่จะเป็นไปในทำนองนี้ ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้แล้วก็ดี มันเป็นสัจธรรม เป็นศาสตร์ที่ถูกต้องทั้งหมด ที่พระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสไว้ก็เพราะว่ามันยังไม่มาถึงกับพวกเรานั้น มันก็เป็นศาสตร์อย่างนี้ ศาสตร์อย่างนี้มันก็ไม่เปลี่ยนเป็นศาสตร์อย่างอื่น มันก็เปลี่ยนเป็นศาสตร์อย่างนี้อยู่ตลอดเวลา เช่นว่าพระพุทธองค์ท่านบอกว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อย่างนี้เป็นต้น ศาสตร์อันนี้เป็นศาสตร์ที่ตายตัว เป็นศาสตร์ที่ไม่ล้มเลิก เป็นศาสตร์ที่แน่นอน เป็นศาสตร์ที่มีกฏเกณฑ์อันแน่นอน เป็นความรู้ซึ่งออกมาจากปัญญาอันบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นของแน่นอน  ท่านจึงว่าเป็นสัจธรรม 

แต่ก็มีคนบางกลุ่มเป็นกลุ่มนั้นก็เรียกว่า ทำดีได้ดีไม่แน่นอน เพราะว่าฉันทำดีอยู่ ทำไมมันไม่ได้ดี ทำชั่วได้ดีก็มีเยอะแยะไป ทำดีได้ชั่วก็เยอะอย่างนี้ อันนี้ก็จริง แต่ว่ามันจริงเป็นสัจจ์ แต่ว่าเป็นความเห็นผิด ไม่ใช่ความเห็นถูก เป็นความเห็นผิด เป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้าเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงนี่ พุทธศาสนานี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันจะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ คือของจริงนั่นแหละ ท่านตรัสรู้ความจริง มันเป็นความจริงแน่นอน มันจะเป็นไปไงก็ช่างมันเถอะ ไอ้ความจริงมันก็เป็นความจริงตลอดเวลา 

ไอ้ที่มันเกิดไม่เป็นความจริงนั่นเพราะคนเข้าใจผิดเช่นว่า นาย ก เค้าจับนาย ก ไปติดตาราง ไอ้ความเป็นจริงนาย ก ไม่ได้ขโมยเค้าเลย แต่ว่าพยานไม่พอ เค้าเอาคนอื่นมาเป็นพยานมาหลายๆคน นาย ก มันคนคนเดียว พยานของท่านอยู่ตรงไหน ก็ใจของข้านี่เป็นพยาน ไอ้นี่มันสู้เค้าไม่ได้ ใช่มั้ย ถึงสู้เค้าไม่ได้ขนาดนั้นเป็นต้น นาย ก ถึงยอมติดตาราง ติดตารางมันก็ติดตารางด้วยทางที่ถูกต้อง มันติดแต่กายเท่านั้น แต่ใจมันไม่ติดหรอก เพราะมันไม่ใช่อย่างนั้นนี่ อย่างนี้คนเราก็ถ้าหากเป็นอย่างนี้ ก็มีความน้อยใจ พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีทางที่จะน้อยใจแหละ ถ้ามันเป็นเช่นนี้ บัดนี้เราไปกระทำอย่างนี้ มันมีโทษอย่างนั้น ท่านว่ามันเป็นเพราะอะไร ท่านโยนให้กรรมซะ มันเป็นเพราะกรรม วันนี้เราไม่ได้ทำ ก็ทำเมื่อวานนี้ เมื่อวานนี้เราไม่ได้ทำ ก็ทำเมื่อก่อนนั้น มันทำหละมันถึงเป็นอย่างนี้ เพราะอะไร เราก็คลุมลงไปซะ สิ่งทั้งปวงไม่มีเหตุ มันไม่เกิด ธรรมมันเกิดเพราะเหตุอย่างนี้ 

ถ้าเราพิจารณาอยู่อย่างนี้เนืองนิจ ชีวิตของเราก็ราบรื่น อย่างนั้นจึงเชื่อ หาคนที่เชื่อในทางพุทธศาสนานี่มันยาก อย่างอาตมาพาญาติโยมมา พาสานุศิษย์มาสร้างวัดป่าเนี่ย ได้เป็นเวลานานประมาณ ๒๐ กว่าปีแล้ว ทุกคนก็คงจะรู้สภาพวัดหนองป่าพงมันเป็นยังไงมา เป็นมาที่ผ่านพ้นอะไรมานี่ทุกสิ่งทุกประการ อดทนก็เพราะว่ามีความเห็นจริง แน่นอน ไม่กลัว เพราะว่าตายมันก็ตายเถอะ เป็นมันก็เป็น เพราะเราทำดีมาแล้ว มันเชื่อใจของเจ้าของ 

ฉะนั้นพระบรมศาสดาของเรานั่น ท่านจึงให้ค้นคว้าดูเจ้าของ ฝึกเจ้าของ อย่าไปฝึกคนอื่นเค้า ให้ดูตัวของเรานี่เอง เค้าว่าดีนั้นไม่เป็นประมาณ เค้าว่าไม่ดีนั้นก็ไม่เป็นประมาณ อย่าไปเพิ่งดีใจมัน อย่าไปเพิ่งเสียใจมัน ให้น้อมเข้ามาค้นในใจของเราที่เขาว่าเราไม่ดีนั้น มันไม่ดีที่ตรงไหน ผิดตรงไหน มันไม่ดีมีมั้ย ถ้าเห็นว่าตรงนั้นมันไม่ดีแล้ว เราก็เลิกมันเสีย อย่าไปโทษคนอื่นเค้า ถ้าเห็นว่าตรงนั้นมันดีอยู่ เค้าว่าไม่ดี ก็ให้เค้าเสีย เค้าพูดไม่ถูกหรอก เรามันไม่ได้ถูกทั้งนั้นหละ ให้เราเชื่อตัวของเราอย่างนี้ เค้าว่าเราดี อย่าไปเพลินกับเค้า เค้าว่าเราไม่ดี อย่าไปทุกข์กับเค้า อันนั้นเป็นเรื่องคนเขาพูด ไอ้เรื่องความจริงมันอยู่กับเรา เราทำอย่างนั้นจริงมั้ย เรากระทำอย่างนั้นจริงมั้ย ถ้าเราทำอย่างนั้นจริง เค้าพูด มันก็ถูกของเขาแล้ว ถ้าถูกความเขาแล้ว ก็อย่าไปโทษเขาเลย มันถูกแล้วก็ให้เขาเสีย ถ้าเค้าว่าเราทำอย่างนั้น เราไม่ได้ทำอ้ะ เค้าพูดผิด ผิดก็ให้เค้าเอาเสีย เค้าพูดไม่ถูก เราไปเอาอะไรกับเขาหละ อย่างนี้เราไม่มีทางผิดหละ จิตใจเราก็ปลื้มใจอยู่ในการประพฤติปฏิบัติของเราอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไร 

ที่ท่านว่า สีเล นะ สุขะติงยันติ สีเล นะ โภคะสัมปทา สีเล นะ นิพุติงยันติ ตัสมา สีลัง วิโส ทะเย ให้เราคำนึงดูเถอะว่า ศีล ๕ ประการเนี่ยมันเป็นศีลของมนุษย์แท้ๆ ทุกคนเราเป็นฆราวาสก็ดีในกลุ่มพุทธบริษัทเนี่ย เคยตั้งใจมั้ยว่าเราจะรักษาศีล ๕ ให้สมบูรณ์ เคยมีมั้ย มีใครเคยตั้งใจหรือเปล่า เนี่ย ให้เราคิดอย่างนี้ อันนี้คือความดี คือความจริง บางคนอาจจะตอบว่า ผมทำไม่ได้ครับ โลกเค้าพาทำอย่างนั้น โลกเค้ามาเป็นอย่างนั้น ผมก็เป็นไปตามโลก อ๋าว อาตมาตามพิจารณาแล้ว ไอ้ทางมีความสุขนั่นน่ะ ไม่ค่อยมีคนสนใจ นอกจากคนแก่ๆเฒ่าๆ เขะๆขระๆ พูดไม่รู้เรื่องกับเค้า เป็นคนโบราณซะ เข้ามารักษาศีล ๕ คนสมัยใหม่นี่เค้าเรียกว่ามันไม่มีอะไรซะแล้วหละ อย่างนี้ 

ฉะนั้นบ้านเมืองของเราจึงมีความเดือดร้อนขึ้น อย่างไอ้ท่อนไฟ ถ่านไฟน่ะ เราเข้าใจว่ามันไม่ร้อน แต่มันร้อนอยู่ ถ้าเราไปจับเข้า มันจะร้อนหรือมันจะเย็น มันก็ร้อนอย่างเก่ามันนั่นแหละ เพราะที่ว่ามันไม่ร้อน เพราะเราเข้าใจว่ามันไม่ร้อน แต่ความจริงน่ะมันร้อนอยู่ อย่างนั้นประชาชนเราทั้งหลายจึงเดือดร้อน ทุกประการทุกวันนี่ ดูเหอะ ดูครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ ดูพ่อแม่กับลูก เจ้านายกับราษฎรทุกวันเนี่ย ไม่ค่อยไปด้วยกันหรอก เพราะอะไรกันก็ไม่รู้ เพราะมันขาดศีลธรรมเนี่ยแหละ สีเล นะ สุขะติงยันติ มันไม่มีความสุข เพราะศีลนี่เอง ไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่มีความสุจริตอันนี้ ทุกคนเป็นอย่างนี้ มันก็ร้อน ถ้าร้อนมันก็เป็นไฟ เป็นไฟมันก็ร้อน ร้อนมันก็เป็นนรก เป็นนรก คนไปทำในสิ่งที่ผิดมันก็เป็นสัตว์นรก สัตว์นรกมันก็ร้อน นี่ ก็เรียกว่าเราตกนรกทั้งเป็นกันนั่นเอง ทุกวันนี้ 

อาตมาเคยพินิจพิจารณาแล้วว่า ไปเทศน์ที่ไหน ไปฟังธรรมที่ไหน ไปบรรยายที่ไหน ไม่เคยเห็นว่า ในสายตาสายใจ มองดูในกลุ่มชนไม่เคยคิดว่าในกลุ่มนี้ตั้งร้อยคน พันคน จะพยายามรักษาธรรมะนี้ที่แท้จริง ซักสี่ห้าคน ยิ่งไปในชุมนุมชนใหญ่ๆ ไปเทศน์ก็เทศน์อย่างเนี้ย ไม่ได้ยินหรอก ไม่ได้ยิน ฉะนั้นอาตมาจึงไม่ค่อยไปในกลุ่มชนใหญ่ๆ ไม่อยากจะไป ไปแล้วไม่เกิดประโยชน์ ไปแล้วพระก็เทศน์ โยมก็คุยกันวุ่นวายสารพัดอย่าง ไอ้คนกินเหล้าก็กินกัน คนเล่นอะไรก็เล่นกันต่างๆนานา แต่ทำไม่เป็นประโยชน์ ไม่รู้ว่าจะไปทำเป็นอะไร เสียเวลาเรา อีกไม่กี่วันก็จะตายแล้ว จะมาเล่นกับคนไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ฉะนั้นไปที่ไหนญาติโยมคงจะรู้สึกว่าอาตมามันเป็นพระยังไงก็ไม่รู้ แต่ว่าเค้านิมนต์ก็น่าไปนะ ไปโปรดอิฉันด้วย ไปโปรด เราไปไม่ใช่เอาเราไปโปรด เอาเราไปโปรดเสียด้วย กลับมาไม่มีรับ มันจะมีกำไร… มันขาดทุนทั้งนั้นแหละ อย่างในกลุ่มชนหมู่หนึ่งไกลๆ 

บางคนก็มาวัดหนองป่าพงแล้วก็มีความดีใจ อยากให้ญาติพี่น้องได้ยินได้ฟังด้วย ทำบุญบ้านนิมนต์ไป เอาพระไปแย่ทั้งนั้นน่ะ เอาขี้เหล้ามาหาพระกันหละวุ่น ไม่ได้เรื่องอะไรเลยนะ มานั่งอยู่วัดหนองป่าพงก็ยังเกิดประโยชน์ดีกว่าที่จะไปเสียค่ารถ เสียค่าน้ำมันอะไรวุ่นวาย อย่างนั้นญาติโยมเราทั้งหลายเนี่ย ให้พิจารณาให้มันดี อาตมาจึงยกออกมาอยู่ในกลุ่มเล็กๆ พูดกัน ใครที่มีศรัทธาก็เข้ามาพูดกัน ว่ากัน พูดกัน รู้เรื่องง่ายๆ ในกลุ่มหนึ่งตั้งพันคนนะ เรามีคนเป็นคนซักห้าสิบคนมันคุ้มตัวมันซะแล้ว มันเป็นไปอย่างนี้ไม่มีทางที่มันจะดำเนินไปได้อย่างนี้ เมื่อเราทำงานทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน เราทำไปๆ ดูผลงานแล้วไม่มีอะไรเลย แล้วจะมีใจทำงานหรือเปล่าก็ไม่รู้ นี่ไม่ใช่ทำงานหรอก เพราะเรายังโง่อยู่ ยังไม่ฉลาดเหมือนพระพุทธเจ้า เช่นว่าเราไปทำนาสิ วันนี้ดำนาไปเหอะ ดำกันไปทั้งวันทั้งคืน ดำไปสามวันสี่วันนี่ มีคนกลุ่มหนึ่งมาถอนไปตามหลังน่ะ วันนี้เราดำไป พรุ่งนี้มันก็มาถอนทิ้งไปเรื่อยๆๆ ใครจะทำไง พรุ่งนี้จะดำต่อไปอีก เค้าก็มาถอนอีกเรื่อยๆ ทำไง มันเกิดประโยชน์หรือเปล่าอย่างนี้ เราก็มองดูข้างหลังมันถอนทิ้งหมด จะทำไปอะไร ทำทั้งหลายเรียกว่าทำให้เกิดประโยชน์ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ต้องทำถ้าไม่เกิดประโยชน์ 

อันนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ สีเล นะ สุขะติงยันติ มีอยู่แต่ว่ามันไม่มีสุขน่ะ ถ้าจะพูดให้มีศีลมีธรรมนี่ กลัว กลัวซะ กลัวอย่างนี้เป็นต้น และกลุ่มทั้งหลายมาหันหน้าเข้าอย่างนี้ ถ้าหากว่าเป็นผู้มีศีลธรรมทุกวันนี้ ก็เป็นของอยู่ได้ยาก เป็นของอยู่ยากลำบากเหมือนกัน เราทั้งหลายก็เหมือนกันฉันนั้น ทุกวันนี้มันเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่ามีใครมีบุญบารมีจริงๆ มีศรัทธาจริงๆ จึงจะมีความคิด จึงจะมีปัญญาปลีกตัวออกมาปฏิบัติธรรมะได้ดีที่สุดเดี๋ยวนี้ มันเป็นซะอย่างนั้น 

สีเล นะ โภคะสัมปทา โภคะทั้งหลายของเรานั้นมันเกิดมาจากศีล โภคะสมบัติทั้งหลาย จักขุสมบัติ โสตสมบัติ ฆานะสมบัติ ชิวหาสมบัติ กายสมบัติ มโนสมบัติ สมบัติทั้งหลายที่เรานั่งอยู่เนี่ย มันเป็นสมบัติทั้งนั้นแหละ ถ้าหากเป็นคนที่มีสมบัติทั้งหลายเหล่านี้ไม่บริบูรณ์ซะ มีแขนเสียซะ มีตาเสีย มีหูเสีย อวัยวะอะไรเสียไปซะไม่สมบูรณ์แล้ว มันเป็นเพราะอะไร คือศีลไม่บริสุทธิ์ โภคะในศีลไม่มี มันเป็นซะอย่างนี้ เรามองเห็นง่ายๆ ทางตาเราก็มองเห็น ทางใจเราก็พิจารณาเห็นได้อย่างนี้ มันเป็นซะอย่างนั้น  โภคะสัมปทา โภคะทั้งหลายเหล่านี้ เราจะมองเห็นแต่ของข้างนอก เห็นแต่สมบัติเงินทองต่างๆ ตาเรานี่ไม่มองเห็น หูเรานี่ไม่มองเห็น จมูกเรานี่ไม่มองเห็น กายเรานี่เราไม่มองกันดู มันเป็นยังไง อวัยวะทั้งหลายเหล่านี้ไม่สมบูรณ์ สมบัติภายนอกจะเกิดมาจากไหน มาจากอะไร ควรรักษาตัวเราแล้วในเวลานี้ อย่างตาเรานี่นะ อย่างหูเรานี่นะ อย่างแขนนะ ควรจะรักษาแล้ว อย่างแขนเค้าจะมาซื้อเราซักหลายหมื่น ขายยังไง เขามาตัดให้เขาได้มั้ย นี่ของตัวเรานี่ อวัยวะเรานี่ ไอ้ลูกกะตาเรานี่ใครมาควักออก ลูกหนึ่งหลายหมื่นเอามั้ย เนี่ย มันเป็นยังไง มันมีคุณค่าอย่างไร ที่มันสมบูรณ์บริบูรณ์ก็ด้วยโภคะคือศีลนี้ อันนี้เราไม่คิดอย่างนั้น โภคะอันเกิดจากศีลคือภายในมันเป็นอย่างนี้ คนเรามันไม่มองเห็นว่าเป็นโภคะ 

วันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ให้ญาติโยมทั้งหลายจงช่วยกันพิจารณา แต่ว่าที่มานั่งอยู่ในกลุ่มนี่บางที มันกึ่งคนแล้วก็มี ค่อนคนแล้วก็มีนะ วันคืนล่วงไปๆ คือวันคืนมันไม่หยุดแล้วนี่ มันล่วงไปๆ อยู่เรื่อยๆๆๆ ถามเจ้าของด้วยว่าวันนี้เราทำอะไรมั่ง เราทำอะไรกันอยู่ เราอยู่ในความประมาทหรือเปล่า หรืออยู่ในความเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร ควรคิดควรพิจารณาอย่างนี้ ถ้าเราเห็นน่ะ ช่วยแก้ไขเจ้าของเอง อย่าไปแก้ไขคนอื่นให้มาก แก้ไขตัวเราเองซะก่อน ถ้าเราแก้ไขตัวเราเองไม่ได้ ไปแก้ไขคนอื่น มันก็แก้ไม่ได้ ถ้าเราแก้ไขตัวเราเอง ไปแก้ไขคนอื่น เค้าไม่แก้ตามก็ช่างเค้า ตัวเราเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่มีความเสียหายอะไร นี่พระพุทธองค์ท่านสอนอย่างนี้ 

ฉะนั้นศีลนี้ท่านจึงเรียกว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญ ศีลเป็นพ่อแม่ของธรรมทั้งหลายทั้งปวง อย่างลมหายใจมันเป็นพ่อแม่ของอวัยวะทางร่างกาย ถ้าหมดลมหายใจ อะไรมันจะเป็นไปมั้ย มันก็เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ศีลนี่ก็เหมือนกัน จะมีมรรคมีผลมีพระนิพพานถึงที่สุด ก็ควรจะมีศีลเสียก่อน จึงว่า สีเล นะ สุขะติงยันติ สีเล นะ โภคะ สัมปทา สีเล นะ นิพพุติงยันติ ตัสมา สีลัง วิโสทะเย พระพุทธเจ้าท่านถึงชวนให้พุทธบริษัททั้งหลายให้สมาทานศีลให้มี เหมือนกับคนเราทั้งหลายเกิดมานั่ง เกิดมาจากไหน พ่อแม่ เกิดมาจากพ่อจากแม่ ธรรมะคุณงามความดีทั้งหลายทั้งปวงจะเกิดมา ก็เกิดมาจากศีล ที่เราพูดกันอยู่เรื่อยๆทุกวันพระ เราพูดกันแต่เรื่องศีลๆทั้งนั้นแหละ เพราะมันเป็นพ่อเป็นแม่ที่จะคลอดบุตรคือคุณงามความดีออกมาจากที่นั่น แต่คนก็ไม่ค่อยจะไว้ใจ ถ้าคนไปประพฤติปฏิบัติหละ เห็นเองรู้เองแล้วนั้นแหละให้เข้าในใจ อันนั้นเป็นบุญอันเลิศ เป็นบุญอันประเสริฐแสน อาตมาจะดีใจเหลือเกิน ถ้าได้ลูกศิษย์ อุบาสก อุบาสิกาเข้าใจในธรรมะอย่างนั้น เห็นว่าเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาแล้วไม่เสียที 

อะไรเรามันรู้กันหมดทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวนี้มันรู้กัน แต่มันไม่ทำ จะทำไง อันนี้พากันเข้าใจในปีนี้ ปีนี้ก็จะมีครั้งเดียวเท่านี้หละ ปีต่อไปนั้นก็ให้มารวมกันที่นี่ สรงน้ำกันที่นี่อย่างเก่า แต่ไม่แน่นะ คนมานี่กลุ่มใหญ่ ปีหน้าจะหยุดสงกรานต์ เล่นหยุดสงกรานต์กับเค้าอีก ก็ไม่แน่นอนนะ ไม่มีหวังทั้งหมดหละ พูดง่ายๆหละ บางคนอาจจะไม่ได้รดน้ำกับเขาก็มี เพราะอะไร มันล่วงไปๆ ทุกวันนี้เค้าตามฆ่าอยู่ใช่มั้ยหละ ตามฆ่าอยู่ มีโยมเข้ามาถามนะว่า หลวงพ่อไม่กลัวคอมมิวนิสต์ โอ๋ย ไอ้คอมมิวนิสต์ กลัวมันทำไม ไอ้คอมมิวนิสต์มันตามฆ่าเรามาตั้งแต่วันเราเกิดนั่นน่ะ คอมมิวนิสต์ นี่ไม่กลัวหรอก ในตัวของเรานี่เยอะแยะไปหรอกน่า อย่าไปคิดให้มันห่างไกลอย่างนั้นสิ 

ฉะนั้นขอพวกเราทั้งหลายพุทธบริษัทนั้นให้ปลีกตัวออก พยายามสร้างคุณงามความดี ถ้ายังไม่มีทำให้มันมี ถ้ามีน้อยทำให้มันมาก ถ้ามีมากทำให้มากขึ้นไป จนกว่ามันจะพ้นวัฏสงสารนั่นเอง ฉะนั้นบรรดาสาธุชนทั้งหลายวันนี้ ด้วยอำนาจของคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกปักษ์รักษาคุ้มครองของพวกท่านทั้งหลาย ด้วยการประพฤติปฏิบัติศีลธรรมนี้ จงมีความอยู่เย็นเป็นสุข ให้มีอายุมั่นขวัญยืน ให้ประพฤติพระธรรมวินัยต่อไป ดับทุกข์ซึ่งที่มันเกิดมาในใจนั้น ให้บรรเทาทุกข์ ให้ถึงสุข ถึงความสงบทุกๆคน อย่ามีความประมาท ฉะนั้นวันนี้ก็วันเวลาก็พอสมควร ฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายจงพากันตั้งอกตั้งใจ ทุกๆคนพากันประพฤติปฏิบัติเช่นว่ากิจวัตรอันใดที่ในวัดหนองป่าพงเราทำมาแล้ว ก็ให้พากันตั้งอกตั้งใจทำต่อๆไป เป็นเยี่ยงอย่างของกุลบุตรลูกหลานที่ดีทุกๆคน จึงจะเป็นมงคล ฉะนั้นวันนี้จึงได้ขอเลิกการบรรยายธรรมให้โอวาทกับพุทธบริษัททั้งหลายในวันนี้ ฉะนั้นขอความปรารถนาของท่านทุกๆคน จงได้ดั่งความมุ่งมาดปรารถนาทุกๆประการเทอญ