หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
(หลวงปู่แหวน)รักความสะอาด นี่รักมากจริงๆ เป็นพระที่รักความสะอาดมาก อยู่ด้วยเป็นคนชอบระเบียบ อาตมาอยู่ครั้งหนึ่งอยู่สามองค์ ก็อาจารย์คำบ่ออยู่ด้วย ท่านจะสอนธรรมะถึงความพ้นทุกข์ตลอดเลย แต่ท่านญาติโยมก็คงไม่เข้าใจ มันเป็นภาษาอีสานผสมภาษาเมืองเหนือ คำว่าธรรมเมาแค่นี้ก็ไม่รู้จัก อตีตาธรรมเมา อนาคตาธรรมเมา ปัจจุปันนาธรรมโม ก็แปลเป็นภาษาไทย ก็ต้องแปลเป็นภาษาใหม่ ไม่รู้จัก ท่านกล่าวถึงธรรมคือ มทนิมฺมทโน ทำยังความเมาให้สร่าง ท่านจึงว่าธรรมเมา เพราะนี้เป็นอันนั้น เป็นชื่อของพระนิพพาน คนที่หายเมา หายง่วงแล้ว ไม่หลงแล้ว จึงเป็นคนที่สร่าง คำว่าคนสร่างก็คือคนชื่นใจนั่นเอง คนสว่างไสวไม่มีอะไรขัดข้องในสมองในจิตในใจน่ะ เป็นธรรม ท่านว่าธรรมเมาๆ ไม่เมาแล้ว คำว่าไม่เมา ไม่เมาในโลกมนุษย์ ในสวรรค์และพรหมโลก ท่านไม่เมาเพราะท่านรู้ แน่ะ! มันลึก แต่คนไม่เข้าใจ ท่านจะสอนอย่างนี้
ท่านจะสอนห่างๆ ถ้าหากเป็นพระปฏิบัติ ท่านจึงจะสอน การปฏิบัติทุกคนเคยไปวัดไหม เห็นไหมปลูกอยู่ดินเล็กๆ ปลูกอยู่ในดิน ที่อยู่ของหลวงปู่น่ะ เค้าเขียนป้ายไว้นั่น คนไปดูซะจนจะเกลี้ยงหมดแล้ว ทุกวันนี่มืดจนไม่เห็นเลย บางเวลา วันอาทิตย์วันเสาร์นี่คนมาล้อมเต็มหมด ค่อยมาดูทีละคนๆหนึ่ง หลวงปู่อยู่อย่างสันโดษ อย่างไม่พะรุงพะรัง ไม่สะสมอะไร เป็นนักปฏิบัติที่สันโดษจริงๆ แล้วก็ชี้จุดให้ไปนิพพานจริงๆการปฏิบัติของท่าน
บัดนี้การทำความเพียรนี่มันน่าอัศจรรย์ ท่านอายุตอนนั้นดูท่านเห็นภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเข้าไปวัด คนไหนมุ่งปฏิบัติท่านจะแสดง คำว่าแสดงก็คือแสดงกายของท่านให้เห็น แสดงในกายทิพย์ ถ้าใครนั่งอยู่สามารถจะมองเห็น ต้องไปยืนดูอยู่ เวลาเราบำเพ็ญทำสมาธิ ท่านก็จะยืนดูอยู่ เมื่อจิตสงบแนบแน่นมั่นคงดี ตรงไหนยังไม่สงบ เมื่อจิตสงบ ท่านจึงจะหายไปแล้วก็ดูองค์ใหม่ ทีนี้พระที่นั่งดูเห็นนิมิตเหมือนกัน วันหนึ่งจะอยู่หลายๆองค์จะเห็นหลวงปู่เกือบหมดทุกองค์เลย ถ้าองค์ไหนสามารถเห็น เหมือนหลวงปู่นี่ต้องไปเมตตาทุกองค์ ต้องไปดูแล
บัดนี้เมื่อเราขัดข้องตรงไหน ท่านรู้วาระจิตของเรา ท่านจะจี้ตรงนั้นเลย จี้ตรงที่เราติด ตรงนี้หละที่มีประโยชน์ตรงนี้แหละ ถ้าผู้ใดที่สนใจในธรรมะ ถ้าผู้ไม่สนใจอยู่ด้วยหลวงปู่เฉยๆหละ เป็นกบนั่งเฝ้าดอกบัว อยู่เฉยๆละก็ คงจะไล่ฝนน่ะ รู้จักมั้ย กบนั่งเฝ้าดอกบัว โยม มันนั่งอยู่บนในบัว มันเฝ้าดอกบัวอยู่ เดี๋ยวคนก็อื่นย่องๆออกมาเก็บดอกบัว หายไปเลย ไม่เห็น ก็คือคนไปฟังธรรมแล้วนำธรรมไปไปปฏิบัติ เค้าได้บรรลุธรรม แต่ผู้เฝ้าอยู่จริงๆ เฝ้าดอกบัวอยู่โดยไม่ฟังธรรม ไม่ปฏิบัติก็เลยไม่ได้ผลอะไร ก็เป็นอย่างนั้น ฟังแล้วไม่ปฏิบัติมันไม่ได้ผลได้อะไร ทำอาหารแล้ว ไม่รับประทานก็ไม่รู้จักมันจะอิ่ม ไม่รู้จักความสุขอะไร ไม่รู้จักรส ท่านบอกว่าต้องปฏิบัติ ต้องปฏิบัติ สอนแต่เรื่องปฏิบัติอยู่
ส่วนการละของหลวงปู่อาตมาเห็น เวลาท่านเจ็บป่วย ท่านจะไม่สนใจเลย ไม่สนใจเรื่องร่างกาย มันเห็นชัด มันจะเป็นไข้เป็นหนาวเป็นอะไร ไปถามหลวงปู่ เป็นไง สบายมั้ย สังขารมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ท่านตอบมาอย่างนี้ ท่านจะรักษามั้ยหรือไม่รักษา ท่านก็ไม่พูดกับเราต่อไปอีก เราก็หายารักษาไป ท่านละได้ ท่านปล่อยวางได้
หลวงปู่ตื้อเหมือนกัน อาตมาอยู่ด้วย อาตมานี่ไม่เชื่อคนง่ายๆนะ ต้องอยู่กับอาจารย์จนเห็นอะไรออกมาให้เห็นชัดก่อน จึงจะเชื่อกัน หลวงปู่ตื้อนี่ท่านเทศน์ หลวงปู่แหวนนี่ท่านไม่ค่อยเทศน์ แต่หลวงปู่ตื้อท่านเทศน์ตรงๆไปเลยญาติโยมคงจะฟังไม่ไหว บางคนก็ลุกหนีเป็นแถวเลย ท่านเทศน์ตรงไปเลย ไม่ลำเอียงเทศน์นี่ แต่หลวงปู่แหวนนี่ท่านเทศน์ไม่คล่องเท่าหลวงปู่ตื้อ แต่ว่าท่านเทศน์ยอดๆมัน แต่น้อยๆ แต่ท่านเทศน์ของจริง ของจริงเหมือนกัน จะต่างกัน เทคนิคในการที่บรรยายธรรม
อันนี้คิดดูแล้วท่านบำเพ็ญเพียรมานั้น ตอนหนึ่งท่านไม่สบาย เพราะเป็นไข้มาเลเรีย ญาติโยมเค้าเอายามาให้กิน ก็บอกให้ท่านฉันสองเม็ด ท่านก็ไปฉันถึง ๑๒ เม็ด บัดนี้มันยามันออกฤทธิ์ซิบ่นี่ ออกฤทธิ์ให้มันสลบไป สลบไปท่านก็ตั้ง ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ว่า ถ้าหากเราสำเร็จแล้ว ก็ไปได้ ท่านว่า ตอนที่ท่านยังไม่สำเร็จตอนนั้นก็คงได้ประมาณชั้นพรหมโลก ให้มันตายไปเลย ท่านทำแสงสว่างไว้ขนาดห้องของเราอยู่นี่ เท่ากับหลอดนีออน ๔๐ วัตต์ ทำได้อย่างสบายเลย ทำแสงสว่างออกจากตัวนี่ได้อย่างสบายเลย ท่านทำให้เห็นเป็นบางครั้งคราว ท่านไม่เห็นทั่วไป บัดนี้ท่านบอกว่าถ้ายังไม่สำเร็จ รอก่อน ซักนิดก่อน เลยมันฟื้นขึ้นมา ตอนนั้นท่านยังไม่สำเร็จ ถ้าสำเร็จแล้วจึงจะไป ขอต้องการสำเร็จในภพนี้ ท่านตั้งสัจจะไว้ ท่านจึงทำความเพียรตลอด ไม่หยุด จนม่านว่าท่านสบายแล้ว เมตตาได้ทั่วโลกแล้ว เมตตาตนเองไม่ได้เมตตาแล้ว เมตตาแต่คนอื่น ทำไมถึงไม่เมตตาตน เพราะมันหมดงานทำ
อาตมาจึงมั่นใจว่าหลวงปู่นี่สำเร็จ มั่นใจในปี ๑๒ นี้เอง อาตมาถามมาทุกปี แต่หลวงปู่นี่คงสิ้นทุกข์ในปี ๑๒ ท่านบอกว่าเมตตาได้ทั่วโลก เจ้าของนี่หายห่วง หายอยากแล้ว จริงๆอาตมาจึงเชื่อว่าเป็นผู้หายเมา หายง่วง หายห่วง หายหิว หายอยาก เป็นผู้อยู่มีความสุข ความสบาย ถามท่านว่าฉันก็ได้ ไม่ฉันก็ได้ อ้าว มันอิ่มน่ะท่านว่า ไม่อยากอะไร ถ้าหากพระไม่เข้าใจหลวงปู่ ฉันอาหารมากๆ ให้อายุยืนๆ อยู่กับลูกกับหลาน ด่าเลย มันจะเอายืนไปแค่ไหนท่านว่า ไม่รู้จักสังขาร ถ้าหากเราบอกหลวงปู่ว่า ฉันข้าวไว้ ถ้าสังขารมันอยู่ ก็ให้มันอยู่ไป ลูกหลานจะได้มาไหว้ ยิ้มๆ ถ้ามันอยู่ไม่ได้ก็ให้มันไป ก็บอกไป ยิ้มแป้นเลย เนี่ยมันเป็นยังงี้ ต้องพูดธรรมสูงๆท่านจึงชอบ
ท่านมองดูนั่นนี่ จะเอาอะไรให้นี่ คือท่านไม่ให้เอาอะไร อาตมาไม่เอา ไม่เอาอะไร ถ้าอาตมาเรา อาตมารวยกว่าเพื่อนบรรดาวัดต่างๆ เพราะหลวงปู่อยู่ ๑๑ ปี อยู่ที่อาตมาอยู่ อาตมาไม่เอาอะไร ชิ้นส่วนอะไรในวัดนั่นมาใช้เป็นของในวัดนี่ที่อยู่นี่เลย เพราะหลวงปู่ไม่ให้เอา ไม่ให้เอาอะไร ก็เลยไม่เอา ไม่เอาอะไร เหรียญก็ไม่ขอซักเหรียญ เหรียญขอกับหลวงปู่ ไม่ขอซักเหรียญเดียว โยมก็ วุ้ย ติดกับหลวงปู่ ขอเหรียญให้คนยากหน่อย ไม่มี อาตมาไม่เอา เพราะท่านไม่ให้เอา ก็เชื่อท่าน ไม่เอา ทีนี้ปัจจัยเงินทองนี่ท่านก็ไม่ให้ไปยุ่ง อาตมาก็ไม่ยุ่ง ไม่ได้ ยุ่งไม่ได้ ท่านจะไล่หนีกับวัด ก็ต้องไม่ยุ่งเหมือนกัน คนที่หาวิธีให้พ้นทุกข์ ท่านว่าหาให้มันสิ้นอยาก สิ้นความอยาก มันก็มีความสุข ท่านว่า อันนี้คนโปรด หลวงปู่หนู อาจารย์หนูนี่ก็ ไม่ควรโปรดหรอกโยม ถ้าท่านคนไม่ด่าคนไว้ หลวงปู่คงจะไม่ยืนถึงขนาดนี้ คงไปแล้ว ท่านอยู่กับอาตมานี่ไปแต่นานแล้ว อาตมานี่มันอด มันคนขอนี่ไม่ได้ หลวงปู่ออกมาแล้วสิบเที่ยวนี่ หลวงปู่ไม่ถึงสามปีแน่ มาอยู่กับอาตมา ท่านก็ไป อยู่กับท่าน(หลวงปู่หนู)ท่านก็ด่าคนไม่ให้เข้าไปยุ่ง มันก็ดี มันก็ดีทีหลัง หลวงปู่อายุยืน (หัวเราะ)
ก็ได้สั่งสอนพระเณรที่อยู่นั่น จะได้รับแค่ไหนก็ไม่ทราบ อาตมาอยากได้ธรรมะไว้ ตอนที่มีเทป เอาเทปไปอัด พอได้เทปไปเรือนหนึ่ง ท่านไม่อยากให้เรานี่ ให้ฟังเอา ชำเรียงตาดูเทปอย่างนี้ เทปมันก็ทำงานอยู่ ไฟก็แว้บๆอยู่ ม้วนเทปก็เดินปกติอยู่ สองชั่วโมงก็มานวดขาท่าน คุยธรรมะกัน ได้หมดสองม้วนพอดี กลับมาถึงวัดเปิด ไม่มีเสียงเลย เสียงอาตมาก็ไม่มี เสียงหลวงปู่ก็ไม่มี อาตมาก็ อู๋ย ตอนนั้นดร. สนอง อุณากูล คุณเลิศรัตน์ คุณเกศรี ร้านเสริมสวย หมอประไพศรี อะไร ร.พ.ศิริราช จะไปอยู่วัด อาตมาคอยฟังเทศน์ อาตมาอัดจะเอามาให้ฟัง พอเปิดฟัง ไม่ได้ยินเสียงซักม้วนเลย เงียบเลย ก็เสียไปสองชั่วโมง เสียไปเปล่าๆ อาตมาว่าเทปอาตมาเสีย มันอัดไม่ได้ บันทึกไม่ได้ พอเอาม้วนเก่ามาทำแล้ว คุยกันสนั่นหวั่นไหวเลย ไม่เสียเลย กลับไปรอบหลังนี่ก็ได้ ได้ม้วนเดียว กลับไปอีก อีกครั้งหนึ่งก็ไม่ได้สองม้วน สองชั่วโมงก็ไม่ได้ หลวงปู่ชำเลืองตา เงียบไป ถ้าเสียงหลวงปู่ไม่เข้า แต่น่าอาตมาเสียงอาตมาน่าจะเข้าไป ไม่เข้าเลย ปิดหมดเลย นี่เห็นพลังจิต เห็นพลังจิตสามารถที่จะปกปิดสิ่งเหล่านี้ได้
เหตุฉะนั้นอาตมา (เทปขาดตอน) คอมพิวเตอร์อย่างตรวจทุกวันนี่ ดูแล้วนายแพทย์ตอนหลวงปู่เงียบไป ว่าหลวงปู่สลบ พาท่านไปเจาะเลือด เจาะเลือดเอาเลือดออกมาดู แทงเข็มเข้าไป เลือดมันไม่มี ไม่มีมาเลย ถูกเส้นโลหิตก็ไม่ ไม่มีออกมาเลย ต้องพาท่านไปไหว้ หาดอกไม้มาบูชา ให้กราบเท้าหลวงปู่เสียก่อน จึงเจาะเลือดได้ พอเจาะเลือดได้ก็พาท่านเอ็กซเรย์ เอ็กซเรย์สี่ครั้ง ห้าครั้ง ก็ไม่เห็นภาพเลย ท่านนอนอยู่ ก็ต้องหาดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา ยังถ่ายได้เ กซเรย์ถ่ายได้ ติดสบายเลย เรื่องแค่นี้ เหตุฉะนั้นอาตมาบอกว่าคอมพิวเตอร์สมัยใหม่นี่ ท่านจะระงับดับหมดทั้งห้องก็ได้ ไม่มีปัญหา ด้วยพลังจิต
อาตมาก็เลยถามว่า จิตใจนี่ถ้าฝึกแล้วนี่ เห็นว่าหลวงปู่ทำแสงสว่างได้ หลวงปู่ทำฌาณ ขึ้นไปบนอากาศไปขวางเครื่องบินเค้า เครื่องบินบินไป บินไป หลวงปู่ไปเหมือนอย่างพระพุทธเจ้านี่ ไปนี่ เครื่องบินบินไป หลวงปู่นั่งอยู่บนอากาศไปด้วย เครื่องบินจะชน ก็ปักหัวเครื่องบินลงไปข้างล่างรอดใต้หลวงปู่ ไปลงสนามบิน กองบิน ๔๑ นี่นั่งรถจี๊บไปกัน ไปวัด นั่งรถจี๊บไป ถามหมู่บ้านในฝั่ง มีวัดหนึ่งอยู่ในป่ามั้ย มี มีก็พากันเดินขึ้นไป รถมันขึ้นไปไม่ได้ แต่สมัยนั้นยังไม่ถึงปี๑๒นะ ท่านทำได้แล้วเรื่องอย่างนี้ พอขึ้นตั้งขวางอยู่ข้างบน ให้เค้ากลัว ให้เค้าหนี ท่านถึงบอกว่าอย่ามาเลาะๆอยู่แถวนี้ อย่ามาอยู่ใกล้ อย่ามาซ้อมรบใกล้ๆนี่ แล้วก็กลัวกัน เลยถามหลวงปู่ทำไมจึงไปทำได้อย่างนั้น โอ้ย จิตที่ฝึกดีแล้ว ทำยังไงก็ได้ ท่านว่า ทำยังไงก็ดีที่มันฝึกดีแล้ว เหมือนกับเราขับรถ รถของเราดีแล้ว เลี้ยวไปที่ไหนก็ได้ เหมือนกับวัวเทียมแอก มันดึงเข้าเลี้ยวมุมไหน มันก็ไปกับเราหมด จิตที่ฝึกดีแล้วนี่ ทำอย่างไรก็ได้
นี่! ท่านทำให้ดู อาตมาก็เคยดูแต่แสงสว่าง ก็ดูตั้งแต่ท่านทำ ตัวท่านขาวผ่อง สวยมากเลย ทำกระดูกนี่ให้เป็นแก้ว เหมือนกับร่างกระดูกที่เค้าเอาออกจากโรงพยาบาลมาตั้งไว้ เหมือนเป็นแก้วหมดทั้งกระดูก ทุกชิ้นส่วนในร่างกาย ท่านแสดงให้อาตมาเห็น อาตมาก็เลย แหม ทำไมหลวงปู่จึงทำได้อย่างนี้ ทำอย่างนี้ ออกมาจากอะไร อาตมาชอบถามท่านสองต่อสอง ออกมาจากเมตตา เมตตามันเปี่ยมล้น อาตมาจึงไม่เห็นครูบาอาจารย์องค์ไหนที่จะสามารถ แต่ท่านคงไม่ทำให้อาตมาดูก็ไม่ทราบองค์อื่น แต่ท่านก็ได้ดีเหมือนกัน ที่จะทำให้กระดูกเป็นแก้วส่องให้เห็นอย่างนั้น อาตมายังไม่เห็นองค์ไหนเลย ในชีวิตที่อาตมาบวชมา เห็นองค์เดียว เห็นองค์เดียวที่ท่านทำให้ดู ยืนอยู่นี่เหมือนร่างกระดูกยืนอยู่นี่ ตัวเนื้อนี่ก็เห็นยิ้มแป้นเลย แต่กระดูกนี่มันเป็นแก้ว ส่องใส ส่องทะลุหมดเลย ท่านทำให้ดู อาตมาว่า โอ้ย พอแล้ว หลวงปู่ ลูกหลานมั่นใจ ทำอะไรทุกอย่างให้เห็น
เหตุฉะนั้นจึงมีเมตตาสูง เมตตาโดยเฉพาะคนเยอรมัน คนเยอรมันอายุ ๕๗ ปี เค้าอยู่ประเทศเยอรมันแล้วเค้าก็มาไปกับเพื่อนคนไทย มาอยู่นั่น เข้าไปนั่งมองหลวงปู่ หลวงปู่ก็กำหนดจิตแผ่เมตตาไปโดยตรง โดยตรงไปใส่คนเยอรมัน น้ำตานี่ร่วงลงสู่เสื้อเปียกหมดเลย ลงกางเกงปุๆๆ เหมือนกับร้องไห้ น้ำตาตกร่วงปุๆๆ เพื่อนก็ถาม คุณเป็นอะไร ผมมีความดีใจมากเกินไป มันปลื้มใจ ไม่คิดว่าเมืองไทยนี่บวชมาตั้งแต่เล็กจนเฒ่านี่ ไม่เคยเห็น เกิดมาไม่เคยเห็น (หัวเราะ) อยู่ได้ด้วยยังไง ท่านอยู่มายังไง จนเฒ่าบัดนี้ก็ยังบวชอยู่ได้ ได้ยินแต่เมืองไทยมีพระ เค้าพูดภาษาเยอรมัน หลวงปู่แผ่เมตตาโดยเฉพาะจนน้ำตาร่วง เพราะมันเย็นหมดทั้งตัว ถ้าโดยเฉพาะ ถ้าทั่วไปอย่างเราๆก็นี่ก็เย็นๆทั่วกันไป เหมือนห้องแอร์ สุขสบายเท่านั้นเอง ท่านแผ่มากๆ เหตุฉะนั้นถ้าในหลวงเมื่อท่านเข้าไปอยู่ในห้อง ท่านจะไม่ให้สมเด็จพระบรมราชินีนาถเข้าไป ท่านจะเสด็จพระองค์เดียวเข้าไปอุปัฏฐากหลวงปู่อยู่สองชั่วโมง สมเด็จก็ต้องนั่งคอยอยู่ข้างนอก ท่านจะคุมเครื่องอัดเทปด้วยตนเองอยู่นั่นน่ะ บันทึกถาม
บัดนี้อาตมาก็เลยถามหลวงปู่ หลวงปู่ เมื่อท่านในหลวงท่านเสด็จเข้ามาไหว้หลวงปู่แล้ว ท่านตรัสอะไรบ้างกับหลวงปู่ ท่านในหลวงท่านว่ามอบเป็นลูกหลาน หลวงปู่นี่จะพูดภาษาอีสานหรือภาษาอะไรก็ได้ ลูกหลานจำไม่ได้ ไม่รู้จักอย่างไรก็แปลให้ฟัง แต่ไม่ต้องพูดราชาศัพท์ ไม่ต้องพูด เทศน์ให้ลูกหลานฟัง สิ่งใดที่จะทำให้ลูกหลานพ้นทุกข์ในภพนี้ ให้หลวงปู่เทศน์สิ่งนั้น ลูกหลานจะไม่อยากปรารถนามาเกิดในชาติหน้านี่ อยากให้สิ้นทุกข์ในภพนี้ นี่ในหลวงท่านก็ตรัสอย่างนี้กับหลวงปู่แหวน เทศน์ให้ฟังเลยหลวงปู่ที่มันจะพ้นทุกข์ ต้องการจะพ้นทุกข์จริงๆ อยากพ้นในภพนี้เอง ไม่อยากมาเกิดอีกแล้ว เค้าก็เลยมอบให้เป็นลูกเป็นหลานของเรา เราก็เทศน์แล้วท่านว่า หลวงปู่ก็เลยเทศน์ให้ฟัง ท่านก็กลัวอัดเทปไม่ได้ หลวงปู่พูดเบาๆก็เร่งไฟมอเตอร์มันก็ดังเกินไป เลยฟังไม่ถนัด อาตมาฟัง โอ้ย เพราะไม่ให้ใครเข้าไป ท่านอุปัฏฐาก ท่านประคองออกมา ท่านประคองเองท่านในหลวง ท่านจึงตรัสไว้
อาตมาพบท่านในหลวงท่านครั้งหนึ่ง แต่ละหลวงปู่ๆนี่ หลวงปู่ไหนมีเมตตาสุงสุดในประเทศไทย เลยถาม ท่านก็ตรัสบอกว่าหลวงปู่แหวนนี่มีเมตตามากจริงๆ เข้าไปแล้วนี่เย็นหมดทั้งตัวเลย ไม่อยากหนีเลย สองชั่วโมงไม่อยากลุกหนีไปไหนเลย ขาก็ไม่เจ็บ นั่งอยู่อย่างนี้ก็เย็นอยู่อย่างนี้ ไม่อยากลุกไปไหน ไม่อยากหนีไปไหนเลย อยากอยู่กับท่าน มันเย็น แหมไปองค์อื่น ก็เย็นอยู่หรอก แต่ไม่เย็นเท่าองค์นี้ ท่านจึงเคารพ มีเมตตาจริงๆ อันนี้ในหลวงท่านตรัส แต่ท่านจึงมั่นใจในหลวงปู่ ท่านจึงเคารพจริงๆ ถ้าเสด็จไปเชียงใหม่ ทางญาติโยมก็คงจะได้ยินข่าวว่า ในหลวงท่านเสด็จไปเยี่ยมหลวงปู่ประมาณครั้งหนึ่ง สองครั้ง แท้ที่จริง โหย ตั้งหลายครั้งเลย เพราะท่านไปซักสามสี่คันรถ ท่านไปเดี่ยวๆเลย ค่ำมาท่านไปแล้ว เสด็จไป ตำรวจทหารต้องคอยวิ่งตามหลัง ท่านลงจากภูพิงค์ ขับรถไปเลย ลงรถไปด้วยตนเองเลย พระองค์เลย ถึงหลวงปู่ โน่น สามทุ่มถึงจะกลับกัน หลวงปู่สามทุ่ม ท่านไปแล้วฟังเทศน์ เย็นทั้งวัน ไม่อยากหนีไปไหน ท่านมามีความสุขอยู่กับหลวงปู่ ท่านจึงในการพระราชทานเพลิงศพ อาตมาได้ยินข่าวว่าท่านจะคอยเผาจริง ซักสี่ทุ่ม แต่ก็ยังไม่แน่นอน เพราะท่านมีความเคารพหลวงปู่มาก
ดูตอนอาพาธ(หมายถึงในหลวงทรงพระประชวร)มาจากดอยอ่างขาง ตอนนั้นอาตมาอยู่ สัญญา ธรรมศักดิ์เป็นนายก และดร.เชาว์ บัดนี้ท่านกลับไป นิมนต์ อาตมาก็อยู่นั่น พอไปนิมนต์ หลวงปู่ ไปโปรดพระเจ้าอยู่หัว อาพาธอยู่ที่ภูพิงค์ ท่านเฉย นิมนต์แล้วก็เฉย วันแรก ท่านไม่พูดอะไร วันหลังนี่วนอีก เอารถเก๋งจอดอยู่นั่นน่ะ หลวงปู่นิมนต์ไปโปรดพระเจ้าอยู่หัวหน่อย แผ่เมตตาให้หน่อย ท่านอาพาธ โอย นี่ ไปเมตตา ไปทำน้ำมนต์ไม่ได้หรือ ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ถาม โอย ไม่ไปหละ เอาเฮลิคอปเตอร์มาใส่ก็ไม่ไป เอาจรวดมาให้นั่งก็ไม่ไป รถเบนซ์คันนี้ก็ไม่นั่ง มาจอดรถไว้ ไปเสีย กลับ แต่เมตตาไปให้หรอก เมตตานี่แค่ภูพิงค์นี่มันว่า เราเมตตาไปถึงอเมริกาโน่น ไปถึงรัสเซียโน่น นี่ใกล้ๆนิดเดียว ท่านว่า มันจะถึงวินาทียังไม่ถึง ท่านว่า เมตตา พอท่านไม่ไปจริงๆ ท่านแผ่เมตตาให้ ท่านก็สบายขึ้นมา ท่านใช้พลังจิต ก็ท่านในหลวงท่านก็สบายหายวันหายคืนขึ้นมา ท่านจึงปลื้มใจ พอสบายก็ไปเสด็จหาหลวงปู่ เสด็จหาหลวงปู่ เนี่ยอาตมาเห็นพลังจิตที่ใช้งาน
หลวงปู่ตื้อเหมือนกัน มีพระป่วยมาอยู่ด้วย มีพระป่วยเข้าไปนั้น จะได้เอาเข้าโรงพยาบาล ลุกไม่ได้ อยู่สี่วันหายแล้ว ไม่ต้องเอาเข้าโรงพยาบาล หลวงปู่ตื้อเหมือนกัน ไม่รู้ท่านทำยังไง ด้วยเมตตา ด้วยพลังจิตของท่านทำยังไง ท่านทำให้คนสบายด้วยอำนาจของจิต ลูกศิษย์ก็เลยอยู่กันสบายๆ ไม่เคยต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอำนาจของจิตใจที่ฝึกมาดีแล้ว ที่สององค์เนี้ย หลวงปู่ตื้อก็ไปก่อนเสีย หลวงปู่ตื้อนี่ก็เผาศพแล้ว ก็ประมาณ ๒๗ วัน อัฐิก็เป็นพระธาตุ สีด่างทับทิมสวยเลย ๓๑ องค์ก่อน เข้ามาวัดพระศรีมหาธาตุ อาจารย์พรหม หลานท่านก็มาให้ดู ท่านมีสีเขียว กับสีด่างทับทิม
อันนี้พระธาตุแต่ละองค์นี่จะไม่เหมือนกันเพราะอะไร ญาติโยม เพราะท่านตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ก่อนที่จะมรณภาพ องค์นี้จะเอาสีขาว องค์นี้จะเอาสีเขียว องค์นี้จะเอาสีแดง สีเหลือง ท่านอธิษฐานในใจของท่านไว้ มันก็เลยออกมาตามรูปแบบที่ท่านตั้งอธิษฐานเอาไว้ อย่างหลวงปู่นี่ไม่รู้จะเอาอะไรแล้ว ได้ยินว่าเกศานี่เป็นพระธาตุแล้วเต้นอยู่ ลูกศิษย์วิ่งแจ้นอยู่ในวัดงมอยู่นั่นแหละ เกศาหลวงปู่เป็นก้อนแน่นติดสวยเลย ก็เลยเกิดเปิดหีบนี่ โห ไปหมด จะทำยังไงหละอาจารย์ อ้าว จะทำยังไงก็ไม่ทำยังไง จะทำยังไงก็แล้วแต่หละ อาตมาว่า อาตมาเป็นผู้เอาหลวงปู่เข้าในหีบ วันที่เอาศพเข้า อาตมาก็ไม่คิด แต่โยมก็ขอฝากอาตมาถ้าได้เอามาแบ่งปันบ้าง โอ้ย ไม่คิดจะได้อะไร (หัวเราะ) โอ้ย เข้าไปใกล้ ตราวังเค้ากั้นอยู่ เดี๋ยวก็ด่า เค้าว่าให้ ไปแย่ง
คิดว่าคงจะเป็นแน่นอนหละ เพราะท่านแสดงให้อาตมาเห็นเหมือนกัน เป็นแก้ว อาตมาหายสงสัย ญาติโยมก็หลวงปู่ตื้อท่านก็เป็น หลวงปู่แหวนท่านก็ต้องเหมือนกัน หายห่วง หลวงปู่ขาวท่านก็เป็น ท่านก็บริสุทธิ์ เหตุฉะนั้นการละ การปล่อย การวาง สององค์นี้อาตมาไปหา ไปหาแต่หลวงปู่ขาว หลวงปู่ขาวก็เทศน์ให้ฟังอย่างสูงสุดเหมือนกัน แต่อาตมาก็ไม่อยู่นาน สององค์นี้อาตมาคลุกคลีท่านนานมาก อยู่กับท่านนาน ได้ฟังจนอิ่ม แต่อาตมาไม่สามารถจะเทศน์แบบหลวงปู่ตื้อให้ฟังได้ (หัวเราะ) เพราะแปลภาษาเราก็เรียกว่ามันหยาบ เทศน์หยาบๆ ผู้หญิงนี่ถ้าไม่มีธรรมะนี่ลุกหนีหมดเลย เทศน์ ลุกหนีหมดเลย ถ้าคนฟังเป็นแล้วก็อยู่ นั่งหลวงปู่ตื้อ ถ้าหลวงปู่แหวนเทศน์ก็ไม่เข้าใจอีกหละ ไม่เข้าใจภาษา แต่สององค์นี้อาตมาว่า องค์เท่าเทียมกันแต่เมตตานี่กันมา ก็คิดว่าสู้หลวงปู่แหวนไม่ได้ หลวงปู่ตื้อนี่ แต่ก็อัฐิธาตุนี่ก็คงเป็นพระธาตุไปด้วยกัน เพราะจะบริสุทธิ์แล้ว แล้วแต่ผู้ที่จะอธิษฐาน
เหตุฉะนั้นศรัทธาญาติโยมจึงแปลกจริงๆที่คนเคารพถึงเมืองนอกเมืองนา มากันวุ่นวายเลยอยู่ในแม่ปั๋ง มาหาหลวงปู่ ทางสิงคโปร์นี่หละเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ยกกันเป็นรถๆเลย เป็นทีมๆเลย เข้าไปนั่นคนสิงคโปร์น่ะ ส่วนอเมริกามานี่ชุดหนึ่งแล้ว มหาสมานท่านเอามาชุดหนึ่งแล้ว เอามาไหว้ ถึงวันงานก็ไม่รู้จะเอามาเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ แต่ศรัทธาญาติโยมผู้ใดอยากไป ก็ให้มีความขันติอดทน ถ้าไม่ไปแล้วได้ส่งอันนี้ไปก็ดีแล้ว นึกอยู่ในบ้าน วันที่ ๑๗ สี่ทุ่มวันเผาหลวงปู่ ข้าพเจ้าก็ได้ถวายดอกไม้จันทน์ไปแล้ว ทำบุญแล้ว สาธุ เอาแค่นั้นก็พอแล้ว ให้กุศลกราบไหว้บูชาระลึกถึงท่าน ใครมีรูปก็เอารูปนั่นหละมากราบ กราบถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือถือว่าหลวงปู่นี่ท่านต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่พร้อมมูล เป็นบันยะบันยังอยู่ด้วยกัน
อันนี้อาตมาจะขอเล่าเพียงแค่นี้นะ เล่าไปไม่ไหวหรอก เพราะอาตมาฟังมาหลายปี เล่าจากนี้ไปอีกสามวันก็ไม่หมด ถ้าจะเก็บจริงๆ เก็บไม่หมด ท่านมาไม่ได้บอก ผู้ที่เขียนประวัติ ไม่ได้บอก ไม่ได้คุยกัน เพราะอาตมาฟังมามาก จะไปเล่าหลวงปู่อยู่นั่นอยู่นี่หมดทุกที่ ไม่ไหว มันยาก ปฏิปทาของท่านเป็นคนที่เด็ดขาด เด็ดขาดจริงๆ ถ้าไปอยู่ใน สมมุติว่าอยู่ในวัดนี้ถึงสิบปีแล้ว ออกไปอยู่วัดอื่นแล้ว ศรัทธาจะปฏิบัติดีแค่ไหน จะอุปัฏฐากท่านดีแค่ไหน ท่านไม่คืนมาหาอีกโยม หลวงปู่แหวน เหมือนกับท่านโกรธแต่ท่านไม่โกรธหรอก ท่านว่าอยู่ให้แล้ว จะไปทำไม ไปรับทานหลวงปู่ ไปรับผ้าไตรจีวร ไปฉัน ไม่ไป ท่านไม่ไปและก็ไม่ยุ่ง แต่ก็เราไปทำบุญกับท่านไม่เป็นไร ท่านก็ไม่ว่าอะไร แต่ท่านไม่กลับคืนวัดเก่า ท่านว่าละก็ละจริงๆ อาตมานิมนต์จนเหน็ดจนเหนื่อยแล้ว นิมนต์มาเยี่ยมซักวันหนึ่งท่านก็ไม่มา สมัยท่านยังแข็งแรง เอารถไปจอดคอยอยู่นั่น โยมอุปัฏฐากตลอดชีวิตก็ตลอดชีวิตจริงๆ จนเสียไปก่อนหลวงปู่ โยมอยู่ที่วัดอาตมา อุปัฏฐากหลวงปู่
บัดนี้โยมอุปัฏฐากหลวงปู่จริงๆนั้นที่สามารถเอาหลวงปู่ไปตัดแว่นตาได้ในเมืองเชียงใหม่ได้ คือแม่บัวผันเพิ่งเสียมาได้ประมาณเดือนธันวาที่แล้วมา ได้อายุ ๑๐๒ปีเต็มกับ ๑ เดือน ๑๑ วัน โยมอุปัฏฐากหลวงปู่ อายุยืนกว่าหลวงปู่ ได้ ๑๐๒ ปี ใครไปดูไปเห็นแท่นแก้ว ไปเห็นพระพุทธรูป เห็นกุฏิที่หลวงปู่อยู่ นั่นน่ะเป็นของศรัทธาคนนั้น โยมคนนี้นี่เป็นพิเศษ อาตมาเห็น ถ้าโยมคนนี้จะไปส่งอาหารน่ะ หลวงปู่คอย ถ้าคนอื่นไปนี่ไม่คอย ไม่คอยเลย ท่านนั่งลงอาสนะ ยืนอยู่แล้วนั่งลงแล้วฉันเลย ไม่คอยใครทั้งนั้น ถ้าโยมนี่ว่าจะไปส่งอาหารนะ ยืนอยู่บนอาสนะ ท่านจะไม่นั่ง หลวงปู่ท่านจะยืนกลางอาสนะนั่น อันนี้ลูกศิษย์นั่งเป็นแถว ยืน มองหน้ามองหลัง คอยอยู่ เอ๊ ไม่เห็นหลวงปู่คอยใครเหมือนอย่างโยมคนนี้ พอเห็นนานมาท่านพูดถึง โอ้ย พระราชินีเมื่อไหร่จะเสด็จมาถึง ท่านพูดอย่างนี้ พระราชินี่เมื่อไหร่จะเสด็จมาถึง บัดนี้เวลามาถึงจริงๆแล้ว แล้วก็ไปปูเสื่อให้คุณยาย จัดแบ่งอาหารลูกหลาน จัดแบ่งอาหารมาให้หลวงปู่ จัดแบ่งอาหารมาให้คุณยาย คุณยายลงมือก่อนหลวงปู่อีกซะด้วย แล้วหลวงปู่ก็มองอย่างนี้แหละ (หัวเราะ) เค้าก็แบ่งให้หลวงปู่ครึ่งหนึ่ง เค้าก็แบ่งให้แม่เค้าครึ่งหนึ่ง ลูกหลานหลวงปู่ก็เฉย ฉันไปแล้ว สบายแล้ว มองๆ อาตมาว่าโยมคนนี่ชาติต่อไปนี่คงจะได้เป็นพระราชินี ถ้าหลวงปู่พูด พูดไว้อย่างนี้ พระราชินีนานๆมาถึงเสด็จ ก็คงจะได้เป็น แต่คนๆอื่นก็ถือว่า แม่บัวผันคนนี้เคยเป็นพระราชินีอยู่ในประเทศอินเดีย หลวงปู่แหวนนี่เป็นพระเจ้าพิมพิสาร อยู่ที่ถวายวัดเวฬุวัน แต่อาตมาไม่เอาหรอก มันเป็นอตีตาธรรมเมา ถ้าหลวงปู่ไม่ได้พูดกับอาตมาเลย อาตมาพูดแต่หลวงปู่ว่าโยมนี้เป็นพระราชินีแค่นั้น ถ้าหลวงปู่อาตมาพูดจริงๆอาตมาจึงจะเชื่อ คนอื่นพูดนี่ อาตมาไม่เกี่ยวข้อง
ถ้าท่านเห็นอะไร มันชัดทุกอย่าง อาตมาถึงเชื่อ นี่มีคนเดียวตัดแว่นตาให้ โยมตัดแว่นตาให้ เห็นมันใส่ไม่ดีก็ขว้างลงบ่อน้ำ นิ่งเฉย บัดนี้ทำฟันปลอมให้ ๑๖๐๐ บาท ถ้ามันใส่ไม่ดี ขว้างลงบ่อน้ำ บัดนี้โยมอยู่ในวัด ทำให้อีก ๑๒๐๐ ใส่ไม่ดี ทิ้งลงบ่อ ลงบ่อน้ำ บัดนี้ทำให้อีก ๓๕๐ ว่ามันใส่ดี ๓๕๐ ใส่จนหัก (หัวเราะ) อันแพงๆไม่ได้เรื่อง ทิ้งลงทั้งที่ไม่โกรธ อาตมาซื้อเครื่องฟังหูนี่ ๑๒๗๐ บาท ไปให้หลวงปู่เสียบหู แล้วก็เอาเครื่องเปิดเครื่อง เอ มันได้ยินชัด เราก็ไม่อยากยินโลกเค้าพูดกัน ปลดออกเลย ปลดออก อาจารย์หนูเอาไปเก็บไว้ ทีหลังมาซื้อเครื่องใหม่ไปอีก เอาไปใส่อีก ก็ปลดออกอีก เลยไม่ซื้อเลย ซื้อให้สองเครื่อง มันหมดไปสองพันกว่า ซื้อไปถวายหลวงปู่ อะไรๆก็ถวาย มีแต่ให้ อาตมาให้ลูกเดียว อาตมาไม่เอา
ย้อนกลับขึ้นมา มาทางเมืองพร้าวกับหลวงปู่ขาว มาทางอำเภอพร้าว หลวงปู่มั่นท่านถอยกลับขึ้นมาอีก ปล่อยหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่พรหม หลวงปู่ชอบอยู่ในป่า แล้วก็ทางนี้ออกมา หลวงปู่มั่นออกมาก็เลยมาอยู่ถ้ำดอกคำ ถ้ำดอกคำนี้ทุกวันนี้เค้าสร้างเป็นวิหารหุ้มอยู่ที่กลางทุ่ง ถ้าเราไปนี่ ถ้าเรานั่งรถวันเวย์ไปเราจะมองเห็นอยู่ทางซ้ายมือ ทางตะวันตก ก่อนจะเข้าในเขา จะเห็นศาลาเหมือนกันกับวิหารที่เราอยู่ เค้าก็ทำสวยดี ที่นั่นเป็นที่อยู่ของหลวงปู่มั่นอยู่ในถ้ำ บำเพ็ญอยู่ในนั้น ให้ลูกศิษย์ไปอยู่ที่อื่น ไม่ให้อยู่ด้วยในถ้ำ อยู่จำพรรษาครั้งหนึ่ง หลวงปู่แหวนท่านเล่าให้ฟัง บัดนี้พออยู่แล้ว หลวงปู่จะออกเดินทางมาทางดอยนะโม ที่แม่ปั๋ง เราก็จะได้ยืนอยู่ใกล้ๆกับตะวันออกที่พระเมรุเผาศพหลวงปู่แหวนทุกวันนี้น่ะ
หลวงปู่มั่นท่านมาทางนี้ ก็ปล่อยให้หลวงปู่แหวนนั่นอยู่ มาอยู่แทนในถ้ำ พอมาอยู่ในถ้ำไม่ถึง ๗ วัน ห้ามไม่ให้ไปด้วย ให้มาอยู่ตรงนี้ หลวงปู่มั่นท่านย้ำหลวงปู่แหวนไว้ หลวงปู่ขาวก็อยู่คนละมุม อยู่คนละเขา พออยู่นั้นแล้ว พญานาคมันชูคอทำเป็นงูใหญ่ ชูคอมาใส่ตรงหน้าหลวงปู่แหวน ห่างกันประมาณสักแขนเดียว ตรงหน้าผากนี่ท่านว่าเป็นตัวงูตัวใหญ่ชูคออยู่ตลอดเลย ท่านก็นั่งสู้ติดเอาหลังพิงกับก้อนหิน นั่งอยู่นั่นแหละ ไม่ได้หลับทั้งวันทั้งคืนเลย สู้กันอยู่นั่นแหละ อดทนจะให้มันถึง ๗ วันตามคำสั่งของอาจารย์ ก็คือหลวงปู่มั่นสั่งไว้ แต่ก็ทนไม่ไหว ได้สี่วันไม่ได้นอน ก็เลยต้องเตรียมกลด เตรียมบาตรสะพายไปหาหลวงปู่มั่น พอไปถึงหลวงปู่มั่น ไปกราบท่าน ท่านเห็นท่านด่าเลย มาทำไม เราบอกให้อยู่ ๗ วัน มาทำไม โอ้ย อยู่ไม่ได้หลวงปู่ เพราะมีงูใหญ่ มันจะกัดเลย มันไม่ถอยเลย มันดูหน้าอยู่ตลอด กลัว
กลัวทำไม กลัวตายทำไม มาบวชเป็นนักบวชกลัวตายทำไม คืนไปเดี๋ยวนี้ ท่านไล่กลับขึ้นไปอีก ก็ไปสู้ได้อีก ๓ วัน ให้ครบ ๗ วัน มันก็หายไป ท่านสู้กลับขึ้นไปตามหลวงปู่มั่นไปอีก ไปตามหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเลยถามว่า อยู่ในถ้ำเห็นมันเห็นอะไรบ้าง ไม่เห็นอะไร เห็นแต่พญานาคท่านว่า ทำไมมันไม่ภาวนารึ มันนอนรึ ภาวนาอยู่ มันไม่เห็น ไม่มองลงไปข้างล่างหละ มันมีลูกดอกเป็นดอกบัวอยู่ข้างล่างในพื้นถ้ำ พระอรหันต์มาปรินิพพานที่นั้นสี่องค์ในถ้ำดอกคำ หลวงปู่แหวนเล่าให้อาตมาฟังก็เลย ท่านบอกว่า โอ้ย หลวงปู่มั่นท่านเป็นอนึ่งกับพระอริยเจ้า เราก็เป็นปุถุชนคนตาบอด มันก็มองไม่เห็นอะไร ท่านก็ว่าอย่างนี้ อาตมาก็เล่าให้ฟัง ต่อนั้นก็เลยอยู่บำเพ็ญกับหลวงปู่อีก
ในสมัยนั้นต่อมาหลวงปู่ขาวก็ออกมา ออกมาหาหลวงปู่แหวน ออกมาประชุมกันว่า เราจะอยู่ไกลๆนี่ก็กลัว ทำยังไง เข้าไปใกล้กันไม่ได้ ฉันข้าวแล้วก็ไล่หนีๆ เราจะทำยังไง แต่หลวงปู่มั่นท่านก็ฝึกอย่างนั้น ฝึกลูกศิษย์ทุกคน ก็เลยพากันตั้งใจ หลวงปู่ขาวนี่คล้ายๆว่า ท่านก็บุกใหญ่เลย หลวงปู่ขาวได้บรรลุก่อน ท่านว่าบรรลุธรรมก่อน ท่านเห็นแล้วเห็นแจ้งในธรรมก่อนในที่โหล่งขอด ท่านมาอยู่ที่โหล่งขอดท่านเลยเห็นธรรมะ เห็นชัดแล้ว ส่วนหลวงปู่แหวนท่านว่าท่านยังไม่เห็นระยะนั้น ยังไม่มั่นใจตนเอง ก็เลยต้องคอยตามหลวงปู่อยู่ตลอด ฟังเทศน์ฟังธรรม ก็เลยมาอยู่ที่แม่ปั๋งนี่ด้วย หลวงปู่ก็อยู่ดอยนะโม ก็อยู่ที่ดอยแม่ปั๋ง ที่อยู่ทุกวันนี้ที่มามรณภาพ
ต่อจากนั้นมาหลวงปู่ก็เลยกลับมา เป็นบังเอิญเดินทางมาลำปางแล้วก็มาทางนครสวรรค์ มีครั้งเดียวที่หลวงปู่ที่จะเข้ามากรุงเทพ เพราะเจ้าคุณอุบาลีกลับเข้ามาอยู่วัดบรมฯ ท่านว่าพากันเดินทางกับหลวงปู่ตื้อ เดินทางมาถึงนครสวรรค์ ก็เลยนั่งเรือ ร่องเรือมา บาท ๑๐ สตางค์ จากนครสวรรค์ถึงกรุงเทพ นั่งเรือเค้าเอา บาท ๑๐ สตางค์ ท่านพูดให้อาตมาฟังค่าเรือ ขึ้นมา มาฟังเทศน์ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณก็ อ้าว ไปอยู่ในป่ามาแล้วไม่ให้อยู่นาน ไล่กลับขึ้นไปเชียงใหม่ ท่านก็ตาม เพราะท่านเชื่อมั่นว่าท่านเจ้าคุณอุบาลีท่านเป็นนักปราชญ์เอก เทศน์ในประเทศไทยก็หาคนสู้ยาก ก็กลับไปอีกกับหลวงปู่ตื้อ พอกลับไปอีกตอนนี้แหละ หลวงปู่แหวนท่านจึงไปพักอยู่ที่หลวงปู่คำแสน ออกจากวัดหลวงปู่คำแสนก็ไปพักห้วยน้ำดินสิบปี ออกจากวัดห้วยน้ำดิน แล้วก็ไปพักในสถานที่อาตมาอยู่นี่ สิบปี รวมกับปีที่แรก เป็น๑๑ ปี
การบำเพ็ญไปถึงสถานที่วัด ท่านได้อยู่วัดไหนแล้วส่วนมาก ท่านจะไม่ค่อยไปอีกในวัดนั้น คนนิมนต์ไม่ค่อยรับนิมนต์ เป็นอาจารย์ที่เด็ดขาดมาก ไปแล้วไม่ค่อยจะกลับ ไปยุ่งในสถานที่จะจำพรรษา ไม่ค่อยจะยุ่งส่วนมาก นอกจากไปเฉยๆแล้ว ไม่ได้จำพรรษา ก็ไปอยู่วัดนั้น ถ้าท่านจำพรรษาให้พอแล้ว ท่านไม่ไปอีกวัดนั้น นิมนต์ก็ไม่ไปอีก หลวงปู่แหวนไม่เหมือนคนอื่น เรียกว่าปล่อยแล้วก็ปล่อยจริงๆ ท่านบอกว่าอยู่ให้แล้ว มานิมนต์เราไปทำไม ท่านพูดถึงนี่กับอาตมา
บัดนี้เมื่อหากว่าท่านมาอยู่ที่สถานทีที่อาตมาอยู่ หลวงปู่คงจะบำเพ็ญไปได้ถึงชั้นพรหมโลก จะแสดงเตโชกสิณังนี้ในห้องในกุฏิ เท่ากันกับหลอดนีออน ๔๐ วัตต์ได้อย่างสมบูรณ์ เปล่ง เหมือนกับเปล่งรัศมีออกจากร่างกายนี่สว่างไสว ญาติโยมจำศีลเห็นวิ่งไปเป็นหมู่เลยก็ล้อมกุฏิ หลวงปู่จุดตะเกียงเจ้าพายุรึ เอามาจากที่ไหน หลวงปู่ออกจากห้องมาก็เลยมานั่งสูบบุหรี่ เฮ้ย ไม่มีอะไรหรอก ท่านว่าไม่มีอะไร ญาติโยมยืนยันว่า มี แสงสว่างดับไปไหน ท่านก็มีแต่หัวเราเฉยๆ คงจะทดลองว่าเรียนกสิณ ทำแสงสว่างให้ได้ประโยชน์อะไรบ้าง ทำได้มั้ย สมบูรณ์มั้ยอาตมาก็ได้ยินแต่หลวงปู่ตื้อว่าหลวงปู่ป้องท่านทำ ทำให้หลวงปู่ตื้อเห็น นั่งอยู่ในกุฏิ ไฟไหม้กุฏิหมดเลย จนไม่เห็นกุฏิ ทั้งเณรทั้งพระร้องรอบกันอยู่ในกุฏิน่ะ วุ่นวาย ไฟไหม้หลวงปู่หมดแล้ว ไม่ได้ ไม่มีอะไร เดี๋ยวไฟดับ ลงมา กุฏิก็ยังอยู่ปกติ เดี๋ยวหลวงปู่ก็เดิน ออกมาจากในห้อง อันนี้ท่านทดสอบ ทดสอบการฝึกมาได้ประโยชน์อะไร
ในตอนนั้นยังไม่หลุดพ้นอย่างแน่นอน หลวงปู่แหวนท่านบอกว่าท่านยังได้ไปถึงทำได้แค่นั้น สมัยก่อนคนไม่เข้าใจก็เพราะหนึ่ง คมนาคมไม่ดี สอง ไม่ถึงกาลเวลาที่พวกเราท่านทั้งหลายจะเข้าวัดได้ สติปัญญายังไม่แก่กล้าควรที่จะเข้าได้ เราต้องพูดอย่างนี้ถึงจะถูกต้อง ถือว่าคนงมงาย ไม่รู้จักครูบาอาจารย์ ไม่รู้จักศาสนาอย่างนั้น ก็ไม่ควรที่จะพูดเพราะไม่ถึงกาลถึงสมัย ไม่ถึงเวลาของคน ก็เข้าวัดไม่ได้ ไปปฏิบัติไม่ได้ เพราะมันติดขัด ติดขัดอะไร ติดขัดอุปนิสัยยังไม่สมควร ไม่แก่กล้านั่นเอง ไม่ถึงกาลถึงเวลา มันไปไม่ได้ เหมือนกับคนบางคนนี่บ้านอยู่ใกล้วัด เราเทศน์นี่เค้าก็ไม่มา เพราะอะไร เพราะยังไม่ถึงเวลา ถ้าถึงเวลามันจะดันมาเอง มันวิ่งหาเองของมัน อันนี้เป็นอุปนิสัย
เหตุฉะนั้นหลวงปู่บำเพ็ญอยู่ที่นี้แล้ว ครูบาอาจารย์ที่บำเพ็ญอยู่ในสถานที่ที่อาตมาอยู่รวมกัน เพราะมีหลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ชอบ หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่พรหม จำในสถานที่นี้ หลวงปู่ปั้นนี่ไปสี่วัน ไม่ได้จำพรรษา หลวงปู่สิมท่านก็ไปพักแต่ไม่ได้จำพรรษา หลวงปู่สามที่อาพาธอยู่ที่ศิริราชทุกวันนี้ก็จำสองพรรษา อยู่ในกุฏิหลวงปู่มั่น องค์ไหนก็ไปจำที่นั่น ไปนอนที่นั่น นอนกุฏิหลวงปู่มั่น แต่เหลือแต่หลวงปู่แหวนองค์เดียว ที่เคารพมากที่สุด เคารพหลวงปู่มั่น ไม่นอนกุฏิหลวงปู่มั่น สถานที่หลวงปู่มั่น ต้องทำกุฏินอนตนเองห่างไปซัก ๕๐ เมตรเห็นจะได้ เพราะที่อยู่ของหลวงปู่มั่นตอนอาตมาอยู่ ถ้าพระภิกษุองค์ไหนเข้าไปนอน แต่ก่อนนะ พูดถึงแต่ก่อน แล้วไม่นั่งเจริญเมตตาภาวนานะ ไม่ถึงสามวัน ป่วยลุกไม่ได้เลย ป่วยลุกไม่ได้สถานที่นั้น ถ้าครูบาอาจารย์องค์ไหนเดินจงกรมนั่งภาวนานี่ จะอยู่มีความสุข
ตอนหนึ่งนั้นหลวงปู่คำแสนท่านพักสวดมนต์ อาตมาก็ไม่ตาดีอะไรหรอก พูดให้ฟังเฉยๆ นั่งอยู่กุฏิดู มีเทพไปนั่งไหว้หลวงปู่ล้มกุฏิอยู่ไม่ต่ำกว่าสองร้อยคน เพราะเค้าเคยไหว้หลวงปู่มั่นอยู่แล้ว สถานที่นี้ อาจารย์องค์ไหนน่าเลื่อมใส เค้าก็มานั่งไหว้กัน นั่งยกมือไหว้รอบอยู่ เหตุฉะนั้นภิกษุสงฆ์สามเณรที่ไม่มีศีลบริสุทธิ์และไม่ตั้งใจภาวนาจึงไปอยู่ไม่ได้ เดือดร้อน แต่ทุกวันนี้ก็ไม่ร้อนถึงขนาดนั้นหรอก พวกเทพเจ้าทั้งหลายคง พระเณรเล็กๆน้อยๆนอนเค้าก็ไม่อยู่ทุกวัน ต้องเป็นพระถึงอยู่กัน แต่ก็ต้องคุมปฏิบัติ ถ้าไม่คุมแล้วจะได้นอนโรงพยาบาล เดี๋ยวจะเจ็บป่วย ก็ต้องคุมให้ฝึกฝนอบรม
แต่หลวงปู่แหวนนี่ท่านอยู่ที่นี่ก็ได้แค่นั้น ต่อมาจึงได้ออกไปที่แม่ปั๋ง อาจารย์หนูท่านก็มานิมนต์เอาไป อาตมาก็ไม่ได้ตามหลวงปู่หรอก บุกเข้าป่า ไปหากะเหรี่ยงที่หลวงปู่ชอบอยู่ในป่า เรียกว่าหันหลังใส่กัน หลวงปู่ก็ไปทางหนึ่ง อาตมาก็ไปอีกทางหนึ่ง อาตมาก็มุ่งหาการบำเพ็ญก็ปล่อยหลวงปู่ไป ก็รู้จักหลวงปู่แล้วก็ปล่อย บัดนี้พอต่อมาก็ไปเยี่ยมท่านเรื่อยๆ ไปอยู่ ไปพักหน้าแล้งก็ไปอยู่เรื่อยๆ อยู่เรื่อยๆ จึงเห็นว่าหลวงปู่นี่เป็นผู้ปฏิบัติตรงจริงๆ สอนไม่ให้ก่อสร้างอะไร ไม่ให้วุ่นวายกับอะไร ไม่ยุ่งกับอะไรจริงๆ ดูเรานี่ ต้องตั้งใจทำจริงๆ สถานที่นี่อาตมามั่นใจหลวงปู่คือ ปี ๑๒ ท่านหลุดพ้น เพราะถามท่านว่า ท่านอิ่ม ท่านพอ ท่านพอทุกอย่าง ท่านอิ่มทุกอย่าง ท่านไม่ต้องการ ท่านมีความสุขสบายนั้น ทำให้ไม่อยาก ท่านว่าสุข อิ่ม แต่บัดนี้เวลาเร่งบำเพ็ญภาวนาอยู่นั่น ท่านมาแสดงให้อาตมาเห็น พอฉันข้าวเสร็จแล้วไปนั่งภาวนาอยู่ ตรงนี้แหละอาตมาอัศจรรย์
นั่งกำหนดภาวนาอยู่นี่ หลวงปู่จะมายืนดู เห็นอยู่ต้นเสา กำหนดดู ยืนคุมผ้าเสวียงบ่า ใส่ผ้าสังฆาฏิเหมือนทองคำ ผ้าที่ท่านห่ม ก็ยืนดูอยู่ประมาณ ๓๐ นาที เมื่อจิตของเราสงบ ท่านก็หนีไป วันที่สองท่านก็มายืนอีก คลุมผ้าปิดคอ ไม่มีสังฆาฏิเหมือนทองคำ ท่านสลับเปลี่ยน แล้วถึงหกวันติดๆกัน วันที่เจ็ดนี่ท่านแสดงให้อาตมาเห็นเป็นชุดขาวเลย ขาวทั้งตัว ขาวสวยมากเลยทีเดียว ยืนอยู่ก็มองเห็นกันอยู่เหมือนอย่างแก้วเหมือนอย่างแก้วที่เรากินน้ำนี่ กระดูกทุกชิ้นส่วนในร่างกายหลวงปู่ท่านแสดงให้เห็น เหมือนอย่างแก้วเลยทีเดียว ตัวเนื้อนี่ก็เห็นอยู่ มองหน้าก็ยิ้มๆอยู่ แต่ว่ากระดูกมันเป็นแก้วหมด อาตมาก็เลยอัศจรรย์ อาตมาก็ไม่ใช่ตาดีอะไรนักหนา ดูครูบาอาจารย์มามากมายที่เห็นในนิมิต แต่ไม่สามารถที่จะทำปาฏิหาริย์ชนิดนี้ให้เห็น ให้เห็นดเหมือนอย่างแก้ว
อาตมาก็ปลื้มใจ แล้วไม่มีนอนก็แล้วกันเลย ตื่นกันอยู่ตลอดเลย การบำเพ็ญนี่วันหนึ่งจะนอนซักชั่วโมงครึ่ง อย่างรวยที่สุด ๒ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงนอกนั้นเป็นความเพียร ทั้งกลางวันกลางวันเล่นกันอยู่นี่ หลวงปู่ท่านเก่งกว่าเราเสียด้วย ตีสองท่านยังเดินจงกรมอยู่ เราเป็นคนหนุ่ม ลงไปเดินไม่ได้ แต่กลัวหนาวจะตายอยู่ ก็ต้องซัดกันอยู่อย่างนั้นการบำเพ็ญ อาจารย์หนูท่านก็เอาของท่าน เอาของใครของมัน ท่านก็บำเพ็ญอยู่อาจารย์หนู สมัยนั้นก็เอาตึงอยู่เหมือนกันแหละ การที่ท่านพูดโวเวๆ เป็นเรื่องของท่าน โวเวมาแต่ไหนแต่ไร ญาติโยมอย่าไปถือ เป็นอุปนิสัยของคนในโลกมันเป็นอย่างนี้ มันละไม่ได้ มันละยาก
หลวงปู่ท่านก็เทศน์โปรดอบรมสั่งสอน ท่านบอกว่า นิพพานมีอยู่ ท่านบอกว่าอย่างนี้ มีอยู่เต็มบริบูรณ์ มรรคผลสมบูรณ์แบบ ไม่มีเสื่อมคลายหายไปไหน รีบพากันตั้งใจทำให้ถึง ท่านสอน ท่านย้ำที่สุด แต่ว่าท่านพูดถึงเหมือนกับท่านรักอาตมามากเหมือนกัน รัก ทำให้รักเพราะอะไร ท่านสอนไม่ให้ยุ่งกับปัจจัย ก็ไม่ยุ่ง อันนี้ญาติโยมคุยกันเรื่องอย่างนี้ เพราะอาตมาก็ไม่ยุ่งเรื่องอย่างนี้ เป็นเรื่องของญาติโยมจะทำบุญ เพราะอาตมาบวชมาจนมาถึงขนาดนี้ ไม่มีพิมพ์ซองแจกการทำบุญก่อสร้างอะไรภายในวัด เกือบสามสิบปีแล้วบวช ไม่มี เพราะหลวงปู่ท่านบอกไม่ให้ยุ่งเรื่องอย่างนี้ ไม่ให้ยุ่งเลย การก่อสร้างอะไรเราไปทำอะไรอยู่ที่วัด ท่านมองอยู่นู่น ท่านเห็น ท่านไปหละถูกด่าแล้ว ด่าก็เฉยๆไปเพราะมันไม่มีที่อยู่ ก็ทำมัน แต่ท่านไม่ให้ทำ ท่านว่าให้ทำทางไปนิพพานอย่างเดียวเพื่อความหลุดพ้นเท่านั้นก็พอแล้ว นี่ท่านสอน
อันนี้ตอนท่านแสดงรัศมีให้พระองค์หนึ่งอยู่จังหวัดจันทบุรี ไปบำเพ็ญอยู่ด้วยกัน ท่านแสดงรัศมีให้เห็น ก็เลยพระองค์นั้นก็ไปเล่าให้ศรัทธาญาติโยม คุณเจ้าคุณนายทางกรุงเทพฟัง คุณเจ้าคุณนายก็เลยไปถามหลวงปู่ นั่งอยู่ด้วยกัน หลวงปู่ กลางคืนหลวงปู่ทำแสงสว่างไสว เอาเปล่งรัศมีออกมา พระท่านเห็นท่านมาเล่าให้ฟัง หลวงปู่ทำอย่างไรจึงทำได้ จึงทำได้อย่างนั้น หลวงปู่ท่านก็พูดน่าขันนะ โอ้ย ท่านพูด โอ้ย อย่างนี้เป็นคนภาษาอีสาน ตั้งแต่แมงหิ่งห้อย มันไม่ได้เข้าฌาณ เข้าญาณอะไร ไม่ได้บำเพ็ญอะไร มันยังมีแสงท่านว่างั้น แมงหิ่งห้อยมันบิน ไม่ได้เข้าฌาณ เข้าญานบำเพ็ญอะไร อันนี้การบำเพ็ญ ไม่มีปัญหาท่านว่า โยมก็หัวเราะกัน ไม่เคยได้ยิน อันนี้ท่านทำให้พระองค์นั้นเพราะจิตตก อยากให้มีความเลื่อมใส แต่ก็ทนไม่ไหว ท่านก็สึกไปแล้วได้ประมาณซัก ๑๓ พรรษาพระองค์นั้น ท่านก็แสดงตัวให้เห็นว่ามันมีอะไรเป็นของดียังไงๆบ้างการบวช
นี่ถ้าคิดดูแล้ว เรามองดูการปลดปล่อย หรือการละทุกสิ่งทุกอย่าง แหม ท่านละเด็ดขาดจริงๆ อาตมาสรรเสริญ ออกจากบ้านแล้วไม่คืนไปเหยียบบ้านซักทีนี่ แหม ละก็ละจริงๆเลย อันนี้เวลาแม่ท่านเสีย เลยทักถาม หลวงปู่แม่เสียไปนี่ หลวงปู่ทำยังไง ไม่ไปดูแลแม่ แล้วพระพุทธเจ้าท่านให้ดูแลแม่นี่ หลวงปู่เอาอะไรตอบแทน อ้าวก็เราปฏิบัติดี ได้คุณธรรม แม่ก็ต้องได้บุญได้กุศล ไม่ต้องไปอุปัฏฐาก บัดนี้พอแม่ท่านเสีย ท่านบอกว่า ท่านค้นหาแม่ของท่านก็เสียเวลาไปประมาณสามเดือน ไปเจอแม่ท่านจะมาเกิดอีก กำลังล่องลอยอยู่ ท่านก็เลยเอาจิตอบรมแม่ของท่าน จึงได้ไปสวรรค์ ไปแค่นั้นหละ แม่ได้ไปเพียงสวรรค์ สวรรค์ชั้นตาวะติงสา เอาเถ๊อะ ได้แค่นี้ก็เอาเพราะได้จับเอาวิญญาณสอน ตัวท่านไม่ได้สอน แต่ขออุทิศส่วนกุศลนั่นให้
ทีนี้การบำเพ็ญของหลวงปู่ จึงมีความมั่นใจว่าท่านละ เสียสละ เวลาเจ็บป่วยอะไร ละขันธ์ห้านี่ เลยหายห่วง อาตมาหายห่วง ด้านตาดี ด้านดูสิ่งโน้นสิ่งนี้ท่านไม่พูด ท่านเห็นชัดหมด สมมุติเราคุยกันเรื่องหลวงปู่อยู่อย่างนี้ ท่านอยู่โน้น ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ท่านจะรู้หมดเลย ท่านมีโทรศัพท์ทางไกลอย่างดีเลย ฟังได้อย่างสบาย อย่างพอเรานึกว่าไม่ไปหละ ไม่ไปหละ ไปกราบหลวงปู่นี่ มีพระหลายองค์นะเป็นครูบาอาจารย์บวชก่อนอาตมา ผู้ใดจะไปก็ไปน่ะ นานๆจึงจะไปกราบหลวงปู่ บังเอิญโยมมาชวน สู้กับโยมไม่ได้ ไปน่า เอารถมารับ ไป ไปกราบหลวงปู่กัน สัญญาแล้วว่าจะไม่ไปก็เลยไป พอไปถึงกราบเสร็จเนี่ย สัญญาแล้วกับโยมแล้วว่าจะไม่มากราบผม แล้วมาทำไม จี้เอาเลย จี้อาตมา ก้มหมอบราบเลย พูดไม่ได้ พูดไม่ได้เพราะเจโตปริยญาณคือดักจิตของคนได้อย่างดีเลย ไวที่สุดจิตใจนี่ อาตมาก็เห็นหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ตื้อนี่ก็ไวมาก นั่งเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ ถ้าใครขัดข้องขึ้นมา คิดขึ้นมา วุ้ย หลวงปู่นี่เทศน์แต่เรื่องเก่าเว้ย นึกขึ้นมาอย่างนี้ “หยุดด่าเสียก่อน ยังเทศน์ไม่จบ” ด่าแล้วจึงเทศน์ต่อไป พระก็ช่าง โยมก็ช่าง อาตมาอยู่ด้วย หน้าแล้งมาอยู่ด้วยกับหลวงปู่ตื้อ
ส่วนหลวงปู่แหวนท่านไม่ค่อยด่า ถ้าพระภิกษุสามเณรครูบาอาจารย์ต่างๆ หรือเจ้าฟ้าเจ้าคุณไปต่างจังหวัด ถ้าจิตใจไม่ดี เข้าไปหาหลวงปู่ เมื่อไปกราบเสร็จแล้ว ออกไปท่านจะเล่าให้ฟัง เรานวดขา เอ มันไม่ดีเว้ย พูดแค่นี้แหละ มีเจ้าคุณองค์หนึ่งได้เป็นชั้นราช มาจากจันทบุรี เป็นฝ่ายนิกาย ท่านก็เลื่อมใส ท่านจะไปทอดผ้าป่า รถบัสตั้งสองคัน ไปหาอาจารย์หนู อาจารย์หนูบอก ไปเอาเองเฮอะ อย่ามายุ่งกับผม ท่านก็ซัดอยู่นั่น นิมนต์ท่านไปรับผ้าป่า ท่านก็ไม่ไป ไป จะไปกราบหลวงปู่พาไป ท่านก็ไล่เลย ท่านก็เลยไปเคาะประตู ไปเคาะประตู อาตมากำลังนวดขาหลวงปู่อยู่ในห้อง เคาะแรงขึ้นๆเลยเปิดประตูออกไป สมัยนั้นไม่ล้อมรั้ว เปิดออกไปท่านก็เข้าไป ท่านก็เลื่อมใสมากเหมือนกันน่ะ แต่จิตใจที่ท่านโกรธอาจารย์หนูมา มันเป็นรูปหนึ่งเป็นรูปแบบวาระจิตเหมือนกับเป็นโคเป็นกระบือ เป็นเสือ เป็นยักษ์ ไม่ทราบระยะนั้นจิตมันโกรธ เข้าไปหาหลวงปู่ กราบหลวงปู่เสร็จแล้ว แล้วขอถวายผ้าป่า หลวงปู่ก็เฉยๆอยู่ ท่านก็จิตคงจะขัดอยู่ ทั้งเลื่อมใสหลวงปู่ทั้งขัดกับอาจารย์หนู ระยะนั้นถึงจะเป็นสัตว์หรือมันจะเป็นคน หรือเป็นอะไร สับสนจิตใจระยะนั้น ท่านก็เลยออกไปว่าหลวงปู่เข้า ไม่ให้หลวงปู่ออกไปรับ หลวงปู่อยู่นี้กราบแล้วก็พอ พวกท่านก็เต็มใจ ไม่เป็นไร อาจารย์หนูก็เลยด่าท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคุณก็ยิ่งเจ็บใจใหญ่เลยก็ไปกัน ไม่ทอดผ้าป่าเลย พาลูกศิษย์หนีหมด บัดนี้พอคนนั้นไปแล้ว หลวงปู่ท่านว่า เอ๊ นี่ผีหรือมันคน มาเคาะประตูนี่ อันนี้จิตใจของท่านเจ้าคุณระยะนั้นคงจะตกต่ำมาก ท่านจึงกล่าวอย่างนั้น เพราะท่านไม่ค่อยกล่าว นี่ท่านมองเห็นจิตใจ
อาตมาคิดดูแล้ว ศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย มาก็บอก ใครอยากไปกราบ อยากไปปลูกข้าว นาที่ดีที่สุดเป็นนาชั้นเอก ก็ไปกราบไปไหว้ คนก็หลั่งไหลไป อันนี้ตอนหนึ่งอาตมานั่งเห็นพระราชากับพระราชินีเข้าไปยกมือไหว้หลวงปู่อยู่ สมัยยังไม่มีคนไปเท่าไหร่ ได้ถามหลวงปู่ เอ้ ฝันเห็นพระราชินีกับพระราชามาไหว้หลวงปู่ บริวารนั่งอยู่เนี่ยเต็มอยู่นี่ เอ๊ มันก็ตาดีเหมือนกันนะ ว่าให้อาตมา อาตมาก็ฝันไปอย่างนั้นแหละ ไม่ตาดีตาเดออะไร มองขึ้นไปอยู่ที่ต้นไม้ไทรใหญ่ๆ ถ้าใครไป พวกเทพเต็มอยู่นั่นแต่ก่อนนั่นน่ะ ใกล้ๆกุฏิหลวงปู่ พอหลวงปู่บรรลุธรรมอย่างสูงแล้วเค้าอยู่ไม่ได้ เค้าหนีหมด เลยไปอยู่ที่อื่น เค้ากลัวบาปกัน เค้าอยู่สูงกว่า เค้าเรียกว่ารุกขเทวดา
ฉะนั้นหลวงปู่บรรลุธรรมจริงๆ เหตุฉะนั้นหายสงสัยเลย อาตมาหายสงสัยเลยในพระพุทธศาสนานี่ ถ้าหลวงปู่แหวนไม่พ้นทุกข์นี่ ลูกศิษย์ปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ โห มันไกล ไกลเดินทางไกล ไกลหลายหมื่นวาอยู่ อย่างนั้นมันการปฏิบัติ เหตุฉะนั้นคณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย อาจจะเล่าเรื่องหลวงปู่นั้นยืดยาว (เทปขาดตอน)
หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวนก็เลยออกเดินทางไปเชียงราย ออกจากเชียงรายการเดินทางปฏิบัตินั้นก็ข้ามไปหลวงพระบาง ในความเห็นไม่เคยเห็นมีอาจารย์องค์ไหนเท่าสององค์นี้แหละคิดว่าในประเทศไทย ถ้าไม่ไปเครื่องบินนั้น เดินทางจากหลวงพระบางแล้วท่านเข้าเมืองแมดเมืองกาสี เข้าไปในญวนเหนือ เข้าไปประเทศญวน ออกจากประเทศญวนก็เข้าประเทศจีน ออกจากจีนก็เข้าบังคลาเทศไปประเทศอินเดีย มีแต่เดินเท้าลูกเดียว แล้วก็ไปศรีลังกา กลับมาอยู่พม่า แหม คงลงเรือสำเภาจากอินเดียไปศรีลังกา เพราะค้นหาที่พระพุทธเจ้าอยู่ อยากรู้ธรรม อยากอะไร บางครั้ง๑๑วันจึงได้ฉันข้าวครั้งหนึ่ง ท่านว่าไม่รู้ภาษากัน เค้าพูดภาษาไม่ได้ อยู่กันถึง ๑๑ วัน ไม่ฉันข้าว
การเดินธุดงค์ ลูกศิษย์ญาติโยมทุกวันนี้มันคงจะไม่ไหวแล้ว เดินอย่างนั้นไม่ไหว ทีนี้ท่านกลับมาอยู่พม่า แล้วกลับมาอยู่เชียงใหม่ สรุปแล้วท่านก็มาปักหลักที่เชียงใหม่ หลวงปู่มั่นก็ยังอยู่กับมูเซอ ท่านก็เข้าไปฟังเทศน์ การอยู่การกินนั้นไม่เหมือนทุกวันนี้ ท่านว่า เอาใบไม้อ่อนๆมาต้ม ผ้าขาว เณร โยม ต้มแล้วก็ตำพริกกับเกลือใส่กันแล้วก็ปนใส่น้ำ ไม่มีอะไร ตักใส่ในบาตร กับข้าวนั่น อาหารอะไรอย่างอื่นไม่มี บางทีก็ได้กินหน่อหวาย หน่อตาว ต้มกินแค่นั้น อาหาร ฟืนไฟฟ้าอะไร รถเรืออะไรก็ไม่มี น้ำก็ต้องแบกหามมาจากที่อื่น ไม่สนุกสะดวกสบายเหมือนอย่างทุกวันนี้
ถึงบอกสู้ทนการปฏิบัติหลวงปู่มั่นท่านพาทำยังไงก็พยายามทำตาม แต่ท่านไม่ให้อยู่ใกล้ ถ้ามาฉันเข้าร่วม ท่านไล่หนี ให้อยู่ห่างๆตลอดเลย การปฏิบัติท่านก็สอน ท่านก็ตั้งมั่นว่าไม่ให้เอาไหน ให้ภาวนานี่ให้เห็นแต่กระดูกซะอย่างง่ายๆ คนนี่เห็นเป็นกระดูกเดินท่านว่า คนอุ้มลูกให้เหมือนกระดูกแขวนคอ ท่านพูดสอนลูกศิษย์ หลวงปู่มั่นท่านเทศน์ เมื่อไรเห็นกระดูกแขวนคออยู่เมื่อนั้นจึงจะเห็นธรรมขึ้นมาบ้าง ท่านว่ายังไม่พ้นทุกข์ ท่านตรัสอย่างนี้ หลวงปู่มั่นท่านเทศน์
แต่ที่จริงแล้ว หลวงปู่มั่นท่านประกาศ เรียกว่าท่านพ้นทุกข์แล้ว ท่านพ้นทุกข์ในอยู่ที่อำเภอพร้าว ท่านพ้นทุกข์แล้ว ท่านสิ้นงานทำ ท่านเทศน์ไปๆ ท่านจะไม่มีเอวังเลย เทศน์ไปแล้วเงียบไปเลย มันหมด ไม่มีอะไรเทศน์ เทศน์อย่างนั้น นี่พอมาอยู่ในอำเภอพร้าวนี่ ถ้ำดอกคำ อำเภอพร้าวนี่มันใกล้กัน หลวงปู่แหวนท่านกลัวผี แต่ไม่กลัวงู แต่หลวงปู่ตื้อกลัวงู แต่ไม่กลัวผี เลยไปด้วยกันได้ ถึงบอกว่าเวลางูมันมามากอยู่ในถ้ำ กลัวมันจก ชูคออยู่ ตัวใหญ่ๆ ก็ให้เอาหลวงปู่แหวนเดินก่อน ข้ามไปเลย ข้ามหลังงูไป ถ้าผีมันดุอยู่ในถ้ำไหนก็มอบให้หลวงปู่ตื้อ เป็นผู้จัดการมัน ท่านเป็นคู่กันอย่างนั้น ไปด้วยกันก็เลยไปด้วยกันได้ ทีนี้สององค์ท่านไม่ค่อยห่างกัน จำพรรษาห่างกันสี่กิโล การไกล วัดอาตมาอยู่กับหลวงปู่ตื้อทุกวันนี้ประมาณ ๔ กิโล อยู่คนละข้างเขา พระท่านอยู่ อยู่ปฏิบัติ
นี้การปฏิบัติของหลวงปู่นี่ท่านสอนอาตมาเด็ดขาดจริงๆ ท่านให้มุ่งอย่างเดียว ไม่ต้องการก่อสร้างอะไร ไม่ต้องไปปรับปรุงอะไร ท่านว่าพระองค์ไหนเข้าไปอยู่ในถ้ำ ไปทับหิน ไปปู ไปเทคอนกรีตอะไรก็ปรับปรุงถ้ำ มันไปทำถ้ำทำไม ท่านถึงว่า ไปตีหินอยู่ในถ้ำทำไม ทำไมไม่ตีกิเลสในหัวใจให้มันหักเหมือนอย่างหิน ท่านบอก ที่มันจะพ้นทุกข์ นี่ท่านสอนอย่างนี้กับพระ หลวงปู่สองหลวงปู่ บัดนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น สมัยนี้มันสมัยก่อสร้าง อะไรก็ปรับปรุง โยมก็ชอบไปด้วยกัน มันได้บุญอยู่หรอก ไม่เป็นไร ได้บุญ แต่ท่านว่ามันช้าหน่อย เพราะมันไปงมก้อนหินอยู่ ลูบก้อนหินอยู่น่ะพระ ไม่ได้ไปลูบดูกิเลสในหัวใจ ก็เลยร้อนไปถึงญาติโยม ดีไม่ดีก็ต้องขอพิมพ์ซองแจกญาติโยม ไปขุดเกลาถ้ำ ไปทับถ้ำอยู่นั่นน่ะบางองค์
ท่านด่า ถ้าก่อสร้างมากท่านจะด่า อาตมาโดนด่าไปสามครั้งแล้ว หลวงปู่แหวนท่านด่า ก็จะด่าคนก็คือมีความรักถึงด่า ท่านว่าทำนิดๆหน่อยๆ อย่าไปทำมาก ถ้าเราทำตามท่านชอบ ท่านจะยิ้มตลอด เห็นหน้าเรา ท่านอย่าบอกอย่าก่อสร้างมากนะ อาตมาสร้างโบสถ์หลังเล็กๆอยู่ในวัด ไม่ให้จับก้อนอิฐ ไม่ให้ทำอะไร ให้นั่งอยู่กุฏิ ให้ปัดกวาดวัด ให้นั่งภาวนา จับก้อนอิฐก็ไม่ได้ ให้จับกระเบื้องก็ไม่ให้จับ ไม้ชิ้นหนึ่งก็ไม่ให้จับ ตะปูดอกหนึ่งก็ไม่ให้จับจะไปตีที่ไหน อาตมาก็ทำตามคำสั่งของหลวงปู่ ไม่ทำจริงๆ นั่งอยู่กุฏิคุยกับโยม มองดูเค้าทำห้าวัน ไปกราบเลาะๆไปใกล้ หนี เราไปกราบหลวงปู่ท่านจะยิ้มตลอด
ท่านมีไฟฉายอย่างดี ท่านดูโน่นห่างไปตั้งสามสี่สิบกว่ากิโล ท่านเห็นเราว่าทำอะไรอยู่ในวัด ท่านมีไฟฉายหลายร้อยถาด ส่องเห็น ตาท่านดีอย่างนั้น ถ้าใครทำอย่างนั้นก็ดี ถ้าท่านสอน ถ้าพระองค์ไหนไปแล้ว ไปบีบขานวดขา ไปอยู่วัดด้วย นึกในใจว่า อื้ม อยู่กับหลวงปู่ อยากได้ซักสองแสน สามแสน ห้าแสนไปสร้างวัด ท่านไล่หนีเลย เข้าไปใกล้ หนีๆ พระองค์นี้อย่ามาใกล้เรา หนี อย่ามาอยู่นี่ ไล่เลย แต่พระองค์ไหนตั้งใจปฏิบัติ ไม่คิดเรื่องอย่างนั้น คิดแต่การปฏิบัติ ท่านจะให้อยู่ด้วย
ส่วนเรื่องอาจารย์หนู เป็นเรื่องอาจารย์หนู คนละเรื่องกับหลวงปู่ แต่จะอยู่ด้วยกันได้ คนละเรื่อง เรื่องของท่าน แต่เราก็ บางคนก็อาจจะรังเกียจอาจารย์หนูเหมือนกัน แต่แท้ที่จริงท่านก็ตั้งใจอยู่หรอก แต่ว่ามันโผงผางเป็นธรรมดา อุปนิสสยปัจจโยของสาวก นั่นปัจจัยนิสัยของมันเป็นอย่างนั้นมาหลายภพชาติแล้ว มันแก้ไขไม่ได้สาวก มันเป็นธรรมดา แต่หลวงปู่นั้นท่านไม่ค่อยพูด (เทปจบ)