Skip to content

หลักในการดูของละเอียด

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

| PDF | YouTube | AnyFlip |

วันนี้จะเทศน์ถึงเรื่องดูสิ่งต่างๆ ที่ดูของละเอียดต้องดูตาเดียว คือดูสิ่งละเอียดต้องดูตาเดียว แต่ชอบกลอยู่คนเรา แฝงมาให้สองตา แต่เวลาดูกันจริงๆจังๆของละเอียดละออ ต้องหยิบตานึงไว้เสียก่อน หยิบตาก็แล้วค่อยดู ถ้าไม่งั้นไม่ชัด ชอบกลเหมือนกันคนเรา สิ่งทั้งหลายแหล่ที่มีทั้งหมดในโลกนี้ ดูอะไรก็เอาเถิด ถ้าหากดูของละเอียดแล้วต้องหลับตาข้างนึงเสียก่อนแล้วค่อยดู 

ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ต้องดูให้ละเอียด ดูของละเอียดต้องดูข้างเดียว คือหมายความว่า ต้องเพ่งลงให้อันเดียว สิ่งเดียวจึงจะเห็นชัด ถ้ายังเพ่งสองตาอยู่ ไม่เห็นหรอก เช่นอสุภะ ปฏิกูล เราพิจารณาให้เป็นของปฏิกูลโสโครก ครั้นอีกตาหนึ่ง คืออีกข้างหนึ่ง มันเห็นแต่ของสวยของงดงาม มันไม่เห็นหรอก ต่อเมื่อเพ่งลงหน้าเดียว ให้เป็นอสุภะเลยทั้งตัวของเราและตัวของคนอื่น เห็นเป็นของเปื่อยเน่า ของปฏิกูลโสโครก จึงจะเห็นชัด คือเพ่งลงไปมันต้องเห็นเป็นอสุภะ เห็นเป็นของปฏิกูล ไม่ใช่ของงดงาม ของปฏิกูล ไม่นานหน่อยมันก็เปื่อยเละหมด ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็ไม่เบื่อหน่าย ไม่สลดสังเวช 

ถ้าเห็นสองข้างสองทางนี้ไม่สลดสังเวช ธรรมะอย่างอื่นก็เหมือนกัน จะพิจารณาธรรมอะไรก็เหมือนกัน เบื้องต้นต้องเพ่งลงอันเดียวเสียก่อน พิจารณาอนัตตาก็เหมือนกัน พิจารณาอนิจจัง ทุกขังก็เหมือนกัน พิจารณาอนัตตา สิ่งทั้งปวงหมด ไม่มีตนมีตัว เพ่งพิจารณาให้เห็นเป็นของไม่มีตนมีตัว เป็นของว่างเปล่าหมด อันนั้นเรียกว่าดูตาเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกขัง เพ่งเอาหน้าเดียวอย่างนี้จึงจะเห็นชัด อันนั้นตอนนะ ตอนต้นต้องทำอย่างนี้เสียก่อน 

ตอนต่อไปถ้าหากว่าจิตของเรามันเห็นโทษ เห็นภัย เบื่อหน่ายเห็นตามเป็นจริงแล้ว กลับคืนมาดูแล้วคราวนี้ ดูสองตาแล้วคราวนี้ อนัตตาหรืออนิจจังทุกขังนั้น เห็นเป็นสภาวะอย่างหนึ่ง คือทำจิตให้มันลงหน้าเดียวเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาอีกทีหละ ให้เห็นเป็นสภาวะอันหนึ่งของมันต่างหาก แล้วคราวนี้มองสองข้างสองตาแล้วคราวนี้ สิ่งทั้งหลายเกิดให้เป็นอยู่อย่างนั้น สภาพของมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น ถึงจะพูดหรือไม่พูด ก็เป็นอยู่อย่างนั้น ใครจะทำยังไง๊ก็เป็นอยู่ตามเรื่องของมันอย่างนั้น เห็นตามเป็นจริงคราวนี้ 

งั้นพิจารณาเบื้องต้นนั้นไม่เป็นตามเป็นจริงหรือ อสุภะ ปฏิกูลน่ะ พิจารณาอสุภะ ปฏิกูล ไม่เป็นตามเป็นจริงหรือ หากจะมีปัญหาถาม ก็เป็นจริงเหมือนกัน คือเพ่งพิจารณากายของเราให้เป็นอสุภะ เปื่อยเน่าปฏิกูลโสโครกน่าเกลียด มันก็เป็นจริงอย่างนั้น แต่มันเห็นแล้วมันเห็นเกินไป ตัวของเราไม่เปื่อยไม่เน่าอะไรหรอก ไม่ปฏิกูลถึงขนาดนั้นหรอก แต่เพ่งไปจนกระทั่งเห็นเปื่อยเน่าปฏิกูล เละหมดไปเลย แท้ที่จริงไม่เป็นอย่างนั้น ดีๆอยู่นี่แหละ มันเป็นยังไงก็เป็นอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่เพ่งถึงขนาดนั้น ไม่เป็นถึงขนาดนั้น ไม่เห็นจริง ไม่เห็นตามเป็นจริง ไม่เห็นโทษเห็นภัยของมัน จนกระทั่งเบื่อหน่ายสลดสังเวชในใจจริงๆ จึงจะเห็นโทษเห็นภัย คือเห็นโทษในการที่เราเกิดขึ้นมา ได้ของปฏิกูลเปื่อยเน่า ได้ของปฏิกูลเปื่อยเน่า ได้ของปฏิกูลโสโครกทุกอย่างเลย น่าเกลียด น่ากลัว ให้มันเห็นจริงอย่างนั้นเสียก่อน 

ตอนหลังนั่น สภาพมันเป็นอยู่อย่างใดก็เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่เหลือเกินไปหรอก คือว่าพิจารณาให้เป็นตามเป็นจริงมันน่ะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกนี่ มันเกิดเป็นของปฏิกูล เกิดขึ้นมาแล้วเป็นของปฏิกูล อย่างผมที่เกิดก็ปฏิกูลโสโครก มีกลิ่นเหม็น แล้วก็สัณฐานก็เป็นของน่าเกลียด ทั้งที่ตั้งอยู่และที่มันเป็นไปก็เป็นของน่าเกลียด ไม่มีใครสามารถที่จะรับรองว่าของดีทั้งหมด ขนก็เช่นเดียวกัน เล็บก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากมันติดอยู่กับมือ ในปลายมือปลายเท้าของเราก็ดูเหมือนจะเป็นของดี แต่ถ้ามันหลุดออกไปแล้ว น่าเกลียด ใครจะหยิบ ของตนเองจะหยิบก็หยิบไม่ได้ น่าเกลียด ฟันแล้วยิ่งแล้วใหญ่ อยู่ในปากเรา อาศัยเคี้ยวอาหารทุกวันๆ แต่ว่าหลุดจากปากมาแล้ว น่าเกลียดที่สุด ไม่เห็นตามเป็นจริง มันของโสโครกอย่างนี้แหละ 

แต่หากว่าพิจารณาตามเป็นจริงแล้ว โสโครกก็สักว่าโสโครก แต่ว่าไม่ทำให้ใจ ไม่ให้รังเกียจเกินไป เห็นว่าเป็นของปฏิกูลจริง แต่ไม่ทำให้รังเกียจ น่าเกลียดน่ากลัวเกินไป คือเราได้มาแล้ว มันสวมอยู่ในตัวของเรานี่แล้ว มีอยู่ในตัวของเราแล้ว เราจะไปไหน ไปไหนพ้น จำเป็นต้องติดตัวของเราอยู่เรื่อยไปจนกระทั่งวันตาย เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว เราจำเป็นที่สุดจะต้องรักษา คือไม่ให้เกลียด ไม่ให้กลัวเกินไป คือไม่ให้เกลียดเกินไป เช่นฟัน ถ้ามันสกปรกก็แปรงก็ถูเสีย เอายาสีฟันมาใส่แปรงมาถูเสีย มันเหม็นกลิ่น ให้มันหายกลิ่นนั้นไป ถ้ามันเป็นอีกก็แปรงอีก อันเนี้ย ปฏิบัติกันอยู่อย่างนี้แหละ เพราะมันมีมาแล้ว เอาไปให้ใครก็ไม่ได้ 

การที่มันเป็นอยู่อย่างนั้น ผู้มีปัญญาได้เห็นเป็นทุกข์ มีอวัยวะทุกสิ่ง ทุกชิ้นส่วน ล้วนแต่เป็นทุกข์กับมันทั้งนั้น ไม่ทำก็ไม่ได้ ปล่อยทิ้งไว้มันก็สกปรกโสโครก มันจำเป็นจะต้องรักษา จะต้องปฏิบัติ เพื่อไม่ให้น่าเกลียดเกินไป อันนี้ถ้าหากพิจารณาทั้งสองข้างต้องเป็นอย่างนั้น คือว่าพิจารณาทีแรกน่ะ ให้มันเห็นข้างเดียวเสียก่อน จึงว่าดูอะไรให้มันเห็นชัด ต้องหยิบตาข้างนึง ดูตาข้างเดียว อย่าไปดูสองข้าง ให้มันจึงค่อยเห็นชัด ตาปุถุชนของคนเราเมื่อมันยังมีสิ่งปกปิดคือกิเลส จำเป็นจะต้องดูให้มันละเอียดถี่ถ้วนลงไป ให้ดูตาเดียว จนเห็นของปฏิกูลโสโครกเบื่อหน่ายจริงๆจังๆ 

คราวนี้ย้อนกลับคืนมาสองตาแล้วคราวนี้ มาพิจารณาให้เห็นสภาพตามเป็นจริงของมันอย่างอธิบายไปแล้ว จนปล่อยวางลงไปได้ ตัวเขาตัวเราเหมือนกันหมด ของปฏิกูลด้วยกันทั้งนั้นน่ะ มนุษย์อยู่ด้วยกันในโลกนี้หมดด้วยกัน ล้วนแต่ของปฏิกูลด้วยกันทั้งนั้น ก็พออยู่ได้ ถ้าเมื่อพิจารณาอย่างนี้ก็อยู่ได้ตามสภาพความเป็นจริงของมัน นอกจากนั้นมีแต่จะเกิดสลดสังเวช เห็นโทษ เบื่อหน่าย เห็นโทษทุกข์ ทุกๆคนต้องพิจารณาให้เห็นทุกข์อย่างนี้ อาการทั้งปวงหมด ในอวัยวะของเราเหมือนกันทั้งนั้นแหละ อันนี้ว่าเฉพาะปัญญาอุบายที่พิจารณาให้มันเห็นอย่างนั้น 

แต่ในอีกนัยหนึ่งว่า ตัวสมาธิไม่มีแล้ว พิจารณาเท่าไร๊เท่าไรก็พิจารณาเถอะ มันไม่เห็นหรอก พิจารณาตาเดียวก็ไม่เห็น สองตาก็ไม่เห็น ถ้ามันไม่เห็นอย่างนั้นแล้ว พึงเข้าใจว่าไม่มีสมาธิ เพราะฉะนั้นจงอบรมสมาธิให้แน่นหนา จงอบรมสมาธิให้มั่นคง สมาธิเป็นของสำคัญมาก จะเห็นชัดหรือไม่ชัดก็ตาม สมาธิเป็นบทบาทให้เกิดปัญญา อสุภะปฏิกูลที่ว่ามานั้นเป็นอีกอันหนึ่ง บางคนก็เป็น บางคนก็ไม่เป็น แต่ว่าสมาธิมีแล้ว มีหนักแน่นอยู่แล้ว มันเห็นชัดขึ้นมาเองหรอก ผู้ที่ไม่เป็น จึงอย่าไปน้อยใจ ที่ไม่เป็นอสุภะอย่าไปน้อยใจ ผู้ที่เป็นแล้วก็ถ้าหากไปหลงเพลิดเพลินก็ลืมตัวซะ อาจสามารถจะเสื่อมได้ 

เทศนาให้ฟังมาตั้งนมนานตั้งหลายปีมาแล้ว ไม่ได้เทศน์อื่นไกลอะไรหรอก เทศน์ก็คือให้เห็นใจ คือให้รู้ใจ ให้เห็นจิตเห็นใจเท่านั้นหละ แต่ก็ไม่เห็นซักที ไม่ทราบว่าทำไม ไม่ทราบว่าอยู่ไหน ครั้นถามว่าใจมีมั้ย มี มีอยู่ไหน ชี้ที่ท่ามกลางหน้าอกนั่นน่ะ มันอยู่ที่ไหนกันก็ไม่ทราบ จับตัวใจไม่ได้ซักที จับจิตจับใจไม่ได้มันก็ภาวนาไม่เป็นนะซี่ จะทำไง๊ คือภาวนาก็ต้องการหาจิตหาใจนั่นแหละ ตัวนั้นเป็นตัวการสำหรับจิตสำหรับใจน่ะเป็นตัวสำคัญที่สุด ที่จะคิดดีคิดชั่วหยาบละเอียดอะไรต่างๆ โลภโมโทสันสารพัดไปรวมในนั้นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวจิตนั่นน่ะ เราไปเห็นเอาแต่อาการของมัน ตัวจริงๆของมันแท้ๆนั้นไม่เห็นเลย นั่นน่ะมันยังยาก ภาวนามันยากอยู่ตรงนั้น มันไม่ได้อื่นไกลอะไรหรอก มันยากตรงไม่เห็นนั่นน่ะ 

ถ้าเห็นตัวมันแล้วน่ะ ผู้คิดผู้นึกผู้รู้สึกนี้เป็นตัวใจ จะไม่คิดไม่นึกแล้ว ให้มีความรู้สึกเฉยๆ มันก็หยุดนะสิ มันจะคิดอะไร มันก็อยู่เฉยๆ มันจะไปคิดอะไร มันก็สบาย อันนั้นเรียกว่าภาวนาเป็น อันนี้ยังภาวนาไม่เป็น ยุ่งแต่เรื่องคิด เรื่องนึก เรื่องปรุง เรื่องแต่ง แต่งไปเถิด แต่งเท่าไรก็แต่งไปเถิด ปรุงไปเถิด นอนหลับมันก็ยังปรุงอยู่ มันปรุงยังไงเมื่อมันหลับ นั่นหละมันฝันมันปรุงมันแต่งไป มันคิดมันนึกไปตัวผู้นั้นน่ะ ถ้าหากว่า เห็นตัวมันแล้ว มันจะหยุดนิ่ง มันจะไม่ปรุงไม่แต่งอีกต่อไป 

หากว่ามีปัญหาถาม มันนิ่ง มันไม่มีปัญญา มันจะไม่ใช่คนโง่หรือ อาตมาขอเฉลยว่า อันโง่แบบนี้น่ะ ใครทำได้บ้าง ลองดูใครทำได้บ้าง ถ้าไม่ใช่อุบายปัญญาแล้ว ฉลาดเฉียบแหลมแล้ว ทำโง่ไม่ได้หรอก ทำโง่อย่างนี้ไม่เป็นหรอก มันต้องฉลาดเฉียบแหลม มีอุบายปัญญาในตัว มันจึงสามารถทำโง่อย่างนี้ได้ โง่นี้ดีนักดีหนา คิดนึกปรุงแต่งจนไม่รู้จัก จนไม่มีที่สิ้นที่สุด บางคนนอนก็ไม่หลับ กินก็ไม่ได้ จนผอมแห้งซูบซีด ซูบซีดผอมแห้ง หรือบางคนผูกคอตาย หรือฆ่าตัวตาย อันนั้นล้วนแต่ปัญญานั่นหละนั่น ความฉลาดทั้งนั้นน่ะ ความฉลาดของคนทั้งนั้น 

อย่างคนเค้าว่าเรา แล้วเราโกรธขึ้นมา จะเอารัดเอาเปรียบคนอื่น คิดแล้วคิดเล่า ปรุงแต่งแล้วๆเล่าๆ ก็เค้าว่าให้เรา เราจะเอาชนะเขา คิดอยู่คนเดียว ปรุงแต่งอยู่คนเดียว ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้โต้ตอบพวกเรา เดือดร้อนอยู่คนเดียว อันนั้นน่ะฉลาดของคนเรา แต่ผู้มีปัญญาปฏิบัติธรรมแล้ว โง่ หัดโง่เป็น คือไม่ต้องคิดนึก เอาชนะตนเอง ไม่ต้องปรุงต้องแต่ง รู้ตัวนั้นน่ะเลยหยุด รู้ตัวใจเลยหยุด เลยสบายเลย คนมีเงินตั้งเป็นล้านๆ หรือมีเกียรติยศชื่อเสียงท่วมโลกก็ตามเถอะ มันสามารถสงบได้มั้ยหละ สามารถระงับได้มั้ย ไม่ใช่คนโง่เหรอถึงสามารถระงับได้ 

พระพุทธเจ้าสอนให้เราทำความโง่ แต่พระองค์ไม่พูดว่าโง่ แต่อาตมาพูดเอง โง่แบบนี้ดีนักดีหนา เมื่อเห็นจิตแล้ว จับตัวจิต ตัวมันคิดตัวคิดนึกมันได้ มันก็ไม่คิด ไม่ปรุง ไม่แต่งนะสิ เข้าถึงใจเลย ไม่ปรุงไม่แต่งมันก็มีแต่ความรู้สึกเฉยๆ อันนั้นเข้าถึงใจ จิตกับใจมันอยู่ด้วยกัน จิตอันใดใจอันนั้น ใจอันใดจิตอันนั้น พระองค์ก็เทศนาเหมือนกัน แต่ว่าทำไมจึงเรียกว่าจิตว่าใจ เพราะเหตุเนี้ยจึงเรียกว่าจิต คือจิตเนี่ยแหละ ผู้คิดผู้นึกเนี่ยแหละ รู้ตัวผู้คิดผู้นึกเสียแล้ว เข้าถึงใจเลย อยู่นิ่งเฉย นี่เป็นของวิเศษอย่างนี้ 

มาฝึกหัด ปฏิบัติให้เห็นตัวจิตแล้วจับตัวจิตให้มันได้ คือมันคิดนั่นอาการของจิต เรียกว่าอาการของจิต ผู้คิดนั้นเรียกว่า จิต ผู้คิดกับตัวจิตมันต่างกันอย่างนี้ ผู้คิดนั้นเป็นตัวจิต อาการคิดนั้นเป็นอาการของจิต ก็ลองคิดดูสิ คนเราน่ะทำการทำงานแล้วค่อยปรากฏว่าการงานอันนั้นคนฉลาดเฉลียวถึงเข้าเอาการงานนั้น แต่ว่าผู้ทำการทำงานนั่นมีต่างหาก ผู้ฉลาดนั่นมีต่างหาก อาการของจิตที่คิดน่ะเรียกความฉลาดของจิต จิตก็เหมือนกัน มันคิดนึก มันปรุงแต่งนั่นน่ะอาการ ตัวผู้คิดผู้นึกนั้นน่ะตัวจิต ครั้นเห็นอย่างนี้แล้วจับตัวนั้นแล้ววางตัวคิดนึก มันก็วางไปหมดเสีย มันก็ยังเหลือแต่จิตเท่านั้นสิ เหลือแต่จิต มันก็รวมเข้าเป็นใจ อาการเช่นนี้เรียกว่าพิจารณาอนุโลมตามความเป็นจริง ไม่ใช่ของเป็นจริงแท้ ความเป็นจริงแท้มันรวมลงไปเองเลย เข้าไปนิ่งเฉยอยู่ อันนั้นความเป็นจริงแท้ อาการพิจารณาอนุโลมนั้นอย่างหนึ่ง ความเป็นจริงอีกอย่างหนึ่ง เป็นสองอย่าง เมื่อเราพิจารณาทุกวันๆนั่นจะต้องพิจารณาดูอนุโลม อนุโลมๆไป มันหากเป็นจริงครั้งหนึ่งหรอก ต้องให้เข้าใจอย่างนี้ อ้าว พอ