หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
พากันตั้งใจฟังจะอธิบายเรื่องลิงติดตัง ของโบราณท่านบอกว่าลิงติดตัง ผู้เฒ่าเก่าแก่เคยพูดอยู่เสมอๆ ลิงติดตังมันแน่นหนาที่สุด ลิงติดตังนั้นคืออะไร ตังนั้นหมายความว่าอะไร จิตของเราเรียกว่าจิต จิตของเราเรียกว่าลิง เหมือนกับลิง ไม่อยู่นิ่งได้ ยังเรียกว่าเหมือนกับลิง คราวนี้ตัง ตังนั้นอาจจะไม่เข้าใจบางคน เค้าเอายางไม้เป็นยางถนน ยางอะไรก็ตามเถอะ ยางมาจากต้นไม้น่ะ เค้ามาเคี่ยวเอามาใส่น้ำมันยาง แต่ว่าการเคี่ยวนั้น ถ้าน้ำมันยางมากก็ไม่เหนียว ถ้าใส่น้อยก็ข้นแข็งเกินไป ใส่พอดี๊พอดีมันจะเหนียว อันนี้เค้าว่าลิงติดตัง ทำไมมันจึงมาติด ลิงมันชอบไข่ ถ้าเห็นไข่หละจับมาบี้เลย เค้าจึงทำ เอายางนั้นน่ะ เคี่ยวดีๆแล้วไปใส่ไข่ไว้ ใส่ฟองไข่นั้นไว้ เอาไปไว้ในที่ลิงไปๆมาๆ โดยส่วนมากมันลง ไล่ลงกินข้าวเค้า เค้าไว้ทางมันมางั้นน่ะ ลิงมันเห็นมันก็ชอบใจ ของชอบมันแต่ไหนแต่ไรมา จับบี้เลย บี้เลยยางมันก็แตกออกจากฟองไข่ติดมือ ติดมือข้างนึงเสียก่อนนะทีแรก มันไม่ทราบจะทำไง มันมีสองมือเท่านั้น เอามือที่สองไปใส่ควัก มันติดมือข้างนึงก่อน มือที่สองก็ติดด้วยกันอีก ทำยังไงคราวนี้ ก็ใช้เท้าทั้งสองอ้ะสิ ควักเขี่ยถีบยันออก ก็ไปติดกันอีก ทั้งที่สามนั้นก็ดี เท้าขวา เท้าซ้ายมันก็ติดกันหมดเลย ทำยังไงเหลือแต่ปาก ก็เอาปากกัด ปากกัดก็ติดเข้าไปอีก เลยไม่ทราบจะทำยังไงเลย หมดท่า นั่นหละลิงติดตัง มันหมดท่าซะนั่น
เหมือนกับคนเรา ทำลงไปได้ ไม่รู้จัก มีความอยากความหิว จึงคอยแสวงหาเรื่องอาหารการกิน บริโภคทุกสิ่งทุกอย่างจะโดยตรงจะโดยอ้อมก็ดี เรื่องแสวงหาอาหารทั้งนั้น มนุษย์คนเรา จะเป็นพ่อค้าวาณิชก็เรียกว่าแสวงหาอาหาร จะเป็นข้าราชการก็เรียกว่าแสวงหาอาหาร จะเป็นพระภิกษุสามเณร อยู่วัดอยู่ว่า อุบาสกอุบาสิกา ก็ล้วนแต่อาหารนี่เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้แสวงหา เหมือนกับลิงตัวนั้นน่ะ มันเห็นไข่มันชอบใจมันก็บี้เลย ไปหาไหนก็หาเถิด คนในโลกนี้ทั้งหมด ถ้าไม่ทานซะอย่างเดียวก็หมดเรื่องกันไป แต่นี่เราทานอยู่ เสาะแสวงหาด้วยความอยาก
บางคนเค้าบอกว่า ไม่มีการอยาก ไม่สนุก คนหาอยู่หากินในโลกนี้สนุกเพราะการอยากการกินนั่นแหละ จึงได้สนุก แต่พระพุทธเจ้าว่าการอยากการกินนั่นแหละเรียกว่าทุกข์ มันตรงกันข้าม ฉะนั้นไม่อยาก เฉยๆเสีย มันก็ไม่มีอะไร ไม่ต้องแสวงหา อย่างปากท้องเรา ไม่ต้องอยากอ้ะ ไม่ต้องกินน่ะ มันก็หมดเรื่องกันไป แต่นี้มันมีปากมีท้องกันนะสิ มันหิวนะสิ แล้วคอยแสวงหาด้วยประการต่างๆ แสวงไปแสวงมาน่ะไปถูกตัง ที่ว่าลิงติดตัง ตังมันของเหนียวที่สุด
มนุษย์ชาวโลกเกิดขึ้นมา เรียกว่าเป็นลิง ลิงคะก็แปลว่าเพศ คือมีเพศหญิง เพศชาย เรียกว่า ลิงคะ ทั้งเพศหญิงเพศชายน่ะ ทั้งหมด หาอยู่หากินด้วยกันทั้งหมด ลิงคะ แปลว่าเพศ เพศทั้งเพศหญิงและเเพศชาย รวมความเรียกว่า หากินด้วยกันทั้งนั้น หากินที่ไหนหละ เอาอะไรมาหา ก็อยู่ในขันธ์ ๕ นี่แหละ ไม่นอกจากขันธ์ ๕ หรอก ไปๆมาๆก็กลับมาขันธ์ ๕ ของเก่า คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งห้าอย่างนี่แหละ หลงรูป คือมันอยากได้รูป มันก็เอารูปมาติด เพราะอยากนั่นแหละไปติด ติดขันธ์ ๕ คือตัวนั่นแหละ หาว่ารูปของเรา รูปที่ตัวของเรานี่แหละ ไม่อื่นไกลนอกจากตัวของเราหรอก ติดของเราซะก่อนค่อยไปติดคนอื่น ถือว่าเรา ว่าเขา ถือว่าตน ว่าตัว ถือว่ารูปร่างของเรา เพราะเราเกิดขึ้นมาได้รูปเป็นของปรากฏขึ้นมาแล้ว ก็ถืออย่างนั้นหละร่ำไป เจ็บก็ว่าเราเจ็บ ป่วยก็ว่าเราป่วย ไม่อยู่ดีสบายก็ว่าเราไม่อยู่ดีสบาย เป็นไข้เป็นหนาวก็ว่าเราเป็นไข้เป็นหนาว สบายก็ว่าเราสบาย ว่าเราสุขสบาย เราอยู่เย็นเป็นสุข ชอบอกพอใจ ก็ตัวขันธ์ ๕นี่แหละ ไม่อื่นไกลอะไร
คราวนี้ก็เห็นตัวของเราแล้วเป็นสุขหละคราวนี้ ก็เห็นคนอื่นก็เป็นสุขเหมือนกัน อยากชอบรักซึ่งกันและกัน เห็นเราเป็นสุขแล้วเราก็ชอบคนอื่นเป็นสุข ยินดีพอใจกับคนอื่น กับรูปอื่น ถ้าหากว่าเราเป็นทุกข์แล้ว มันจะชอบอกชอบใจกับใคร มันจะยินดีพอใจกับใคร ตัวเราทุกข์มันก็หมดเรื่อง มันจวนจะตายแล้วนี่ มันทุกข์เข้ามา มันจะไปพอใจยินดีกับใคร นั่นแหละ มันติดรูปตัวนี้เสียก่อน แล้วค่อยออกไปติดรูปคนอื่น อันนั้นน่ะลิงติดตัง มันพัวพันไปซะยืดยาวทีเดียว ถึงลูกคนอื่น ถึงลูกถึงหลานถึงเหลน อะไรต่างๆไปพัวพัน ยืดยาวไปทีเดียว มันติดจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น เหมือนกับลิงตัวนั้นแหละ มันติดทั้งห้าแห่ง มันจะไปไหนพ้น มันก็กลิ้งอยู่นั่นน่ะสิ
เวทนาก็นี่ความสุข เราก็ปรารถนา ความทุกข์เราไม่ปรารถนา สุขอันใดพัวพันในสิ่งใดในตัวของเราก็ยินดีพอใจในเมื่อเราได้ความสุข ไม่อยากให้สุขนั้นปราศจากตัวของเราไปอีก เมื่อทุกข์เกิดขึ้น ก็อยากจะให้หนีมันก็ไม่หนี อยากจะให้พ้นตัวของเรามันก็ไม่พ้น มันทุกข์อยู่นั่นหละ อยากจะให้พ้นยิ่งไม่พ้นใหญ่ ยิ่งพัวพันหนักแน่นเข้าไปทุกที สุขก็อยากให้อยู่เป็นสุข ให้อยู่สุขนั้นร่ำไป มันก็ยิ่งพัวพันใหญ่ มันอยากให้สุขอย่างนั้นร่ำไป มันก็เดือดร้อนเป็นทุกข์ มันทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ไม่หายสูญซักที มันก็มีทุกข์ใหญ่ อันนั้นมันก็พัวพันเข้าอีก หาสิ่งแวดล้อมที่จะป้องกันไม่ให้ทุกข์นั้นเกิดขึ้น จะให้สุขนั้นอยู่ต่อไป ยิ่งหาก็ยิ่งพัวพันกับเขา หาเงินหาทองข้าวของสมบัติพัสถาน หาหมอหาหยูกหายา หาอะไรต่างๆทุกอย่าง แล้วก็เปลืองเงินเปลืองทอง สิ้นเงินสิ้นทองหมดไปแล้วโข นั่นเรียกว่าเป็นทุกข์ อันนั้นเรื่องเวทนา
เรื่องสัญญาความจำได้ จำโน่นจำนี่ หมายมั่นสำคัญนั่นนี่อะไรต่างๆ สำคัญว่าตัวของเรา สำคัญว่าวัตถุที่มีอยู่ในตัวของเรานี่ทั้งหมดที่เรียกว่าวัตถุ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่อยู่ในตัวของเราหมด เมื่อสัญญาจำได้แล้ว สิ่งอันใดที่เราจำได้ หมายมั่นอยู่ในสิ่งนั้น ย่อมเป็นอุปาทานในสิ่งนั้น ยึดมั่นสำคัญในสิ่งนั้น เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กายนี่แหละ ตัวของเรานี่แหละ หมายมั่นจริงๆจังๆว่าตัวของเรา ก็นั่นหละสัญญา สิ่งภายนอกก็เหมือนกัน จำสิ่งของวัตถุพัสดุต่างๆในบ้านในช่อง ในลูกในหลานสารพัดทุกอย่าง จำไปหมด ความจำอันนั้นถ้าหากว่ามันหายไปก็เสียดาย ถ้าหากว่าไม่หาย จำอยู่นั่นก็เดือดร้อนเป็นทุกข์อยู่นั่นแหละ ก็ห่างหายไปเหอะก็เดือดร้อนเป็นทุกข์อยู่เหมือนกัน มันเรื่องสัญญา
สังขารความปรุงความแต่ง ที่ปรุงแต่งนึกคิดสารพัดทุกสิ่งทุกอย่าง จะให้เป็นโน่นเป็นนี่ ให้วิเศษวิโส ให้ยิ่งๆขึ้นไปก็ดี หรือให้ต่ำน้อยลงไปก็ดี ให้อับเฉาลงไปก็ดี ความปรุงความแต่งน่ะ มันไม่อยู่คงที่ เมื่อปรุงแต่งแล้วไม่เป็นไปตามประสงค์ก็เดือดร้อน ถ้าเป็นไปตามประสงค์ก็เดือดร้อนเหมือนกัน
วิญญาณความรู้สึกนึกคิดทีแรกเมื่อประสบอารมณ์ อันนั้นก็สำคัญว่าตนว่าตัว สำคัญว่าเราว่าเขา แท้ที่จริงไม่มีตนมีตัวอะไรหรอก หายสูญหมด เพียงแต่ปรากฏขึ้นนิดนึงก็หายไป ปรากฏขึ้นนิดนึงแล้วก็หายไป
ทั้งห้าอย่างนี่แหละ เจ้าตัวลิงเป็นคนวิ่ง เป็นคนหา เป็นคนสะสม เป็นคนไม่ให้คัดออกจากตัวของเรา ให้ติดอยู่ในตัวของเรา วิ่งโน่นวิ่งนี่ ลองดูสิ หลับตาซักพักหนึ่งลองดูสิ มันอยู่มั้ย เกาะโน่นเกาะนี่น่ะ วิ่งโน้นวิ่งนี้อยู่ไม่แล้วซักที ตัวลิงตัวนั้นสำคัญที่สุด ท่านเปรียบเหมือนกับลิง อุปมาอุปไมยเปรียบเหมือนกับลิงน่ะมันวิ่ง มันไม่อยู่นิ่งได้ เดี๋ยววิ่งไปตามรูปเดี๋ยววิ่งไปตามเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เดี๋ยววิ่งไปตามเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็อยู่เนี่ยไม่ไปไหนหรอก มันวิ่งอยู่เนี่ย วุ่นอยู่ ไม่รู้แล้วรู้รอดไปซักที เลยติดข้องในเรื่องนั้น หรือติดตังในเรื่องนั้น
คนเราจึงว่าไม่มีดีอะไรเล้ย ดีก็เพราะเหตุที่ทำจิตให้นิ่ง ให้นิ่งในตัวของตนได้ รักษาจิต รักษาอารมณ์ได้ มีพละในตัว ให้อยู่ก็ได้ ให้ไปก็ได้ อันนั้นน่ะเป็นของตัวแท้ ถ้าหากว่าเป็นลิงเรื่อยไปก็ อุปมาเหมือนกับลิง มันก็ไม่ใช่ตัวของเรา ท่านจึงว่า นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง ความสุขอันใดจะเสมอด้วยความสงบไม่มี เพราะเหตุมันวิ่งอยู่อย่างนั้น ท่านเลยเปรียบให้เป็นเหมือนกับลิงซะ กว้างขวางออกไปคือว่าเหมือนกับลิงติดตัง อุปมาอุปไมยเปรียบไปโน่น เหมือนกับลิงติดตัง ติดข้องยังไง ก็พัวพันในสิ่งใด กลิ้งอยู่ในสิ่งนั้นสิ มันจะไปพ้นจากนั้นได้ยังไง๊
เมื่อถึงคราวที่จะเอาตนรอด เมื่อถึงคราวที่จะเอาตนให้เป็นอิสระ มันก็ไม่ได้ในเมื่อเราไม่ฝึกฝนอบรมตน ให้อยู่ในอำนาจของกิเลสเรื่อยไป หลายอย่างหลายเรื่องแล้ว พูดอธิบายไว้ เหมือนกับลิงก็มี เหมือนกับปลาที่เค้าออกจากน้ำแล้วมันดิ้นตายลงไปของเก่า ดิ้นลงไปในน้ำของเก่า มันกลิ้งกลับกลอกไปมาอย่างนั้น เมื่อเราฝึกฝนอบรมไม่ได้ ก็ได้ชื่อว่าจิตไม่ใช่เราเสียแล้ว อยู่ในอำนาจของจิตเสียแล้ว อำนาจของจิตก็คือกิเลสนั่นเอง มันมีอะไร๊ มีแต่กิเลส มาฝึกฝนอบรมจิตให้สงบลงไปได้ มันก็พ้นจากกิเลส มันก็เป็นจิตของเรา เอาหละเทศน์เท่านี้แหละ
จับลิงให้อยู่ ถ้าจับไม่อยู่ก็จะเรียกว่ายายลิง ตาลิง พระลิง เณรลิง เค้าว่าอย่าไปโกรธเค้าหละ เค้าว่าตัวนี้หรอก เค้าว่าตัวใจนี้ต่างหาก คนนี่อย่าไปโกรธเขา เราจับไม่ได้เราก็เป็นลิงนั่นเอง คนเรามักโกรธ ไม่พิจารณาถี่ถ้วน มักโกรธ เหมือนเค้าหาว่าวัวว่าควาย ตาคนนั้นเป็นวัว ตาคนนี้เป็นควาย ตาคนนั้นเป็นปูเป็นปลา พระคนนั้นเป็นปลาอย่างอย่างนี้อะไรต่างๆ เป็นเป็ดเป็นไก่ มันก็เลยโกรธเขา ความเป็นจริงมันเป็นจริงของเขา เอาเนื้อไก่มาเลี้ยงตัว เอาเนื้อเป็ดนั่นน่ะ เอาเนื้อหมูนั่นน่ะ เอาเนื้อปลาเนื้อปูนั่นน่ะมาเลี้ยง เค้าว่าก็ควรจะให้เขา ก็เลยไม่เข้าใจความเป็นจริง มันถือตนถือตัวอย่างนี้ ถือมาน๊านนาน ถ้าเห็นสภาพความเป็นจริงแล้ว มันก็ไม่ถืออะไรกัน มันก็หมดเรื่องไป
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเห็นว่าตัวเป็นลิง ก็พอใจยินดี เค้าว่าก็ถูก ปล่อยให้เขาเสีย แต่ของเขาก็เป็นลิงเหมือนกัน ไม่รู้ตัว ว่าแต่คนอื่น ตกลงก็ลิงด้วยกันทั้งหมดทั้งวัด ทั้งโลกนี่เป็นลิงด้วยกันทั้งหมด มันก็หมดเรื่องกันไป เหตุนั้นจึงว่าเราจะพ้นจากลิงเราจะจับตัวลิงให้ได้ อย่าให้เข้าไปติดตัง ถ้าพัวพันติดตังก็ไม่พ้นจากลิง คือตามนั้นน่ะ อ้าว ทำความเพียรกัน