Skip to content

ประวัติพระพุทธเจ้า

หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ณ บัดนี้อาตมาจะได้แสดงธรรมีกถาพรรณนาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อจะได้เป็นเครื่องปฏิการเฉลิมฉลองศรัทธาท่านทั้งหลายที่ได้พากันมาในวันนี้ วันนี้เป็นวันวิสาขปูรณมี เพ็ญเดือน ๖ เป็นวันคล้ายกับวันที่พระพุทธเจ้าของเราได้ประสูติตรัสรู้และปรินิพพานตรงในวันเดียวกัน เราท่านทั้งหลายได้สละกิจการงาน บ้านเรือน ความสุขส่วนตนมาเพื่อบำเพ็ญกรณียกิจคือกิจที่สมควรแก่พุทธบริษัททั้งหลายที่จะพึงกระทำ 

อันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น กว่าแต่ที่พระองค์จะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมโพธิญาณ พระองค์ได้บำเพ็ญบารมีมาตลอดถึง ๓๐ ทัศน์ คือทานบารมี ศีลบารมีเป็นต้น ทานอุปบารมี ศีลอุปบารมี เป็นต้น ทานปรมัตถบารมี ศีลปรมัตถบารมี เป็นต้น การที่พระองค์ได้บำเพ็ญมานั้นเป็นเวลาถึงสี่อสงไขย แสนกัปป์ ในชั้นสุดท้ายที่พระองค์ได้บำเพ็ญบารมี พระองค์ได้ไปเกิดเป็นพระเวสสันดร ได้ทรงบริจาคปัจจัยทานทั้งหลาย จนกระทั่งถึงได้บริจาคบุตรทาน และได้บริจาคภรรยา ได้บริจาคทรัพย์สมบัติทั้งสิ้น พระองค์เสด็จไปสู่เขาวงกต โดยการที่ประชาชนไม่ชอบว่าพระองค์บริจาคมากเกินไป ต่อมาภายหลังพระองค์ก็ได้กลับมาครองราชสมบัติ ได้อธิษฐานเพื่อที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคต แล้วพระองค์ก็ได้เสด็จขึ้นไปอยู่ในชั้นดุสิต 

เมื่อพระองค์ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรชั้นดุสิตแล้ว พวกเทวดาทั้งหลายอาราธนาให้พระองค์มาบังเกิดบนโลกมนุษย์ พระองค์ก็ได้พิจารณาถึงว่าบัดนี้สมควรแก่กาลที่เราจะลงไปเกิดในโลกมนุษย์แล้ว พระองค์จึงได้เสด็จลงมาจากชั้นดุสิตเข้าสู่คัพโภทรของนางสิริมหามายา ผู้ซึ่งเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสิริสุทโธทนะ 

ในกาลนั้นนางสิริมหามายาก็ได้ทรงนิมิตเห็นช้างเผือกมาจากภูเขาสุเนรุราช อันที่เป็นภูเขาเงินและภูเขาทองลอยมาที่อากาศเข้าสู่คัพโภทรของพระองค์ ต่อมาเมื่อได้ทรงอยู่ในพระครรภ์สิบเดือนแล้ว พระองค์ก็ได้ประสูตรออกจากพระครรภ์ก็คือวันนี้ เป็นวันวิสาขะเพ็ญเดือน ๖ วันนี้ เมื่อพระองค์ประสูตรออกมาแล้ว พระองค์ก็ได้มีปุริสลักษณะครบถ้วนบริบูรณ์ คือพระองค์มีลายมือเป็นกงจักรแล้วก็มีพระทนต์ ๔๐ ซี่ แล้วก็มีผิวนั้นผงธุลีตกถูก ไม่ได้ค้างคาอยู่ในผิวหนัง ตลอดถึงพระบาทของพระองค์ก็มีกงจักรอย่างนี้เป็นต้น 

พวกพราหมณ์ทั้งหลายที่พระเจ้าสุทโธทนะผู้ที่เป็นพระราชาจึงได้เชิญพราหมณ์ทั้งหลาย ๑๐๘ ที่ทรงคุณวุฒิมาทำนายทายทักว่า พระโอรสนี้จะเป็นดังฤา พราหมณ์ทั้งหลายก็พากันยกขึ้นมาสองนิ้วด้วยกันทั้งนั้นว่า ถ้าหากว่าครองราชสมบัติจะได้เป็นเจ้าจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกในโลก ยังมีพราหมณ์คนนึงชื่อว่าโกณฑัญญะพราหมณ์ ท่านได้ยกขึ้นมานิ้วเดียวว่าพระโอรสนี้จะเป็นศาสดาเอกในโลก หรือเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ในกาลต่อมานั้น พระเจ้าสิริสุทโธทนะมีพระสหายชื่อว่าฤาษีกปิลละ ฤาษีนั้นเมื่อได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชโอรสก็เสด็จมาเยี่ยม ทันใดนั้นพระเจ้าสุทโธทนะก็อุ้มลูกพระราชโอรสเพื่อที่จะไปนมัสการท่านพระฤาษี ท่านพระฤาษีมองเห็นชัดเจนว่า อ๋อ นี่เป็นองค์สัพพัญญูในอนาคต หากให้เด็กนี้มาไหว้เรา หัวเราจะแตกเจ็ดเสี่ยงเป็นแน่ แล้วจึงได้รีบอุ้มพระราชโอรสนั้นวางไว้บนศีรษะ พวกพระญาติพระวงศ์ต่างๆก็พากันฉงนสนเท่ห์ พระดาบสจึงได้กล่าวว่า ในกาลนี้ พระโอรสนี้ใครๆจะให้กราบไหว้ จะไปรับการกราบไหว้ไม่ได้ มีแต่คนอื่นเท่านั้นที่จะกราบไหว้ ถ้าใครให้พระโอรสนี้กราบไหว้ ผู้นั้นจะหัวศีรษะแตกเจ็ดเสี่ยงแน่นอน พระราชโอรสนี้คือหน่อสัพพัญญูที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระดาบสนั้นก็ลากลับ 

พระเจ้าแผ่นดินจึงได้ถามพวกราชครูต่างๆ หรือพวกพราหมณ์ปุโรหิตว่าเหตุดังฤาที่จะทำให้พระราชโอรสของเราออกบวช พวกพราหมณ์ก็ทูลถวายว่า เทวทูตทั้ง ๔ คือคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย จะเป็นหนทางให้พระราชโอรสนี้เบื่อหน่ายสมบัติแล้วก็จะออกบวช เมื่อพระเจ้าแผ่นทรงทราบเช่นนั้นจึงได้สร้างปราสาทขึ้นสามหลัง หลังนึงเพื่อฤดูร้อน หลังนึงเพื่อฤดูฝน หลังนึงเพื่อฤดูหนาว ให้พระราชโอรสนั้นอยู่อย่างสุขอย่างสบายนับมาตั้งแต่อุบัติบังเกิดขึ้น จนกระทั่งโตขึ้นมา เมื่อโตขึ้นมาแล้วพระเจ้าแผ่นดินก็ได้พยายามจะกีดกันคนแก่ คนเจ็บ คนตายให้หนีออกไป ให้ห่างไกล ไม่ให้พระราชโอรสเห็น 

เมื่อพระราชโอรสมีอายุได้ ๑๖ ปี ควรมีมเหสีได้แล้ว ก็พระองค์จึงได้ขอนางพิมพายโสธรา ผู้ที่อยู่นครเทวทหะโน้นให้มาเป็นพระมเหสี ซึ่งพระองค์เมื่อทรงเจริญวัยแล้วก็ได้ทรงพระนามว่า สิทธัตถะ พระมเหสีทรงพระนามว่าพิมพายโสธรา ได้ครองราชสมบัติตั้งแต่อายุ ๑๖ ปีจนกระทั่งถึงอายุ ๒๙ ปี ก็เป็นเวลานานพอสมควรนั้น 

ในเวลาเย็นวันหนึ่งพระองค์ได้โดยสารคือให้นายสารถีพารถไปเที่ยวอุทยาน ในคราวนั้นเทวทูตคือทูตแห่งเทพทั้งหลายที่ต้องการจะให้พระองค์นั้นได้ออกบวช จึงได้เนรมิตคนแก่ เนรมิตคนกำลังเจ็บร้องไห้ เนรมิตคนตายที่เน่าเปื่อย แล้วก็เนรมิตพระภิกษุทรงศีล เมื่อพระองค์เสด็จวนอุทยานวันนั้น จึงได้เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เมื่อเห็นแล้วก็มาพิจารณาว่า อ๋อ ตัวเราก็ต้องแก่ต้องตายเหมือนคนอื่นเขาเหมือนกัน เราหากเป็นพระมหากษัตริย์อยู่เช่นนี้ ไหนเลยจะแก้ความเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ สลดพระทัยแล้วก็ให้นายสารถีขับรถกลับมายังพระราชวัง 

เมื่อมาถึงพระราชวังก็ค่ำคืนวันนั้น นางพิมพายโสธราก็ได้ประสูติพระราชโอรสขึ้นมา มองเห็น แหม สวยงามเหลือเกิน อันนี้คงเป็นห่วงอันใหญ่หลวงแก่เราแน่แท้ พระองค์จึงได้ตั้งชื่อพระราชโอรสว่า ราหุล ราหุลนั้นแปลว่าห่วงมัด แล้วพระองค์ก็เสด็จออกไปดูนางสนมที่มีประมาณ สองพันคน ที่มาคอยบำรุงบำเรอ กำลังนอนหลับ บางคนก็เปลือยกาย บางคนก็น้ำลายไหล บางคนก็พิณก็อยู่ที่รักแร้ บางคนก็แลบลิ้นปลิ้นตาละเมอเพ้อไปต่างๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นพระองค์พิจารณาดู อ๋อ นี่คือป่าช้าผีดิบ เอ๋อ เรานี่มาหลงอยู่ในที่นี้เป็นเวลาอันยาวนาน ค่ำคืนวันนี้เราก็จะต้องออกบวช 

ว่าแล้วพระองค์ก็เลยตัดสินพระทัย เรียกนายฉันนะนำม้ากัณฐกะอัศวะ มาเพื่อที่จะเป็นพาหนะในค่ำคืนวันนั้นก็เป็นเวลาเพ็ญเดือนหงาย เมื่อพระองค์ขึ้นม้ากันณฐกะอัศวะนั่นแล้ว ประตูทวารแห่งพระราชวังก็ได้เปิดออกมาโดยฤทธิ์แห่งเทพ แล้วพระองค์ก็ขึ้นม้ากัณฐกะวิ่งมาในกลางทางทันใดนั้นก็มีมารวสวัตตี ได้มาคอยดักขวางทางบอกว่า ดูก่อนสิทธัตถะ อย่าไป อย่าไป อีกสักไม่กี่วันท่านก็จะได้เป็นเจ้าจักรพรรดิแล้ว จะไปเสียทำไม พระองค์จึงได้ตรัสแก่มารบอกว่า น้ำลายที่เราถ่มออกไปแล้วนั้น เราจะไม่เอามันกลับคืนมากินอีกเป็นอันขาด ไม่ทรงใยดีแล้วก็ทรงขับม้ากัณฐกะอัศวะต่อไป พญามารจึงได้จองเวรว่าเอาเถอะ เราจะจองเวรท่านต่อไปในที่สุด 

เมื่อถึงแม่น้ำอโณมานทีแล้ว พระองค์ก็ได้ตัดพระเกศา จนท่านในชั้นสวรรค์เขาก็ได้มารรับพระเกสาเหล่านี้ไป แล้วเอาไปทำเป็นพระเจดีย์อยู่บนชั้นสวรรค์ ที่เรียกว่าเกศแก้วจุฬามณี อยู่ในชั้นดาวดึงส์โน่น แล้วพระองค์ก็จึงได้เสียสละเครื่องแต่งตัวให้แก่นายฉันนะให้นำกลับคืนไปแล้ว พระพรหมก็ได้นำผ้ากาสวพักตร์คือผ้าเหลืองนำมาถวายแก่พระองค์ ได้ทรงบรรพชาในวันนั้น 

แล้วพระองค์ก็เสด็จสัญจรไปเจอพระเจ้าพิมพิสารอยู่ในนครราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารเห็นเข้าก็ตกกะใจว่าเหตุไฉนท่านสิทธัตถะจึงบวชมาเสียแล้วอย่างนี้ ไฉนเลย ท่านจงมาปกครองเป็นพระเจ้าแผ่นดินร่วมกันเถิด เราจะแบ่งแว่นแคว้นให้คนละครึ่งกัน พระองค์จึงได้ตอบบอกว่าเราไม่ต้องการสมบัติทั้งปวง เราจะหาวิโมกขธรรม คือธรรมเป็นเครื่องพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่ต้องการที่จะต้องมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไป พระเจ้าพิมพิสารได้ฟังเช่นนั้น ก็ขอพรบอกว่าถ้าหากพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ก็จงมาสอนข้าพระองค์เป็นคนแรกเถิด 

ว่าแล้วพระองค์ก็จึงได้เสด็จสัญจรไปยังที่แม่น้ำเนรัญชรา แล้วก็ข้ามแม่น้ำเนรัญชราไปถึงฝั่งพุทธคยาในปัจจุบันนี้ พระองค์ได้ทรงใช้สถานที่แห่งนี้เป็นเวลา ๖ ปี นับแต่ที่พระองค์ได้บำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยประการต่างๆ มีการอดอาหารเป็นต้นเป็นระยะเวลาอันยาวนานถึง ๖ ปี ในที่สุดร่างกายของพระองค์ก็ทนไม่ไหว ล้มลุกคลุกคลาน ในวันหนึ่งพระองค์ก็เสด็จสัญจรไป ในทุ่งนาในท้องทุ่ง แต่เมื่อเดินไม่พ้นเพราะว่าแดดมันกล้า พระองค์ก็เลยล้มลงสลบในกลางทุ่งนานั้น

ในทันใดนั้นก็มีเด็กเลี้ยงวัวคนหนึ่งได้เดินมาถึงเข้าว่า เอ๊ ใครหนอมานอนจวนเจียนจะตายอยู่เช่นนนี้ จึงได้นำนมนั้นใส่เข้าไปในปาก น้ำนมก็ได้ไหลซาบซ่านเข้าไปสู่ร่างกายของพระองค์ก็ทรงฟื้นคืนมา เมื่อพระองค์ทรงฟื้นคืนมาพิจารณาเห็นว่า เอ๊ะ การที่เราทรมานกายนี้มันหาได้ประโยชน์อันใดไม่ เหมือนกันกับว่าเราทำตึงไป 

ทันใดนั้นเทวดาก็จึงได้นำพิณมาดีดให้ฟัง พิณสายหนึ่งนั้นตึงเกินไป ฟังเสียงก็ไม่เพราะ สายหนึ่งนั้นตึงเกินไปสีไปสีมา สายก็ขาด สายนึงนั้นมันหย่อนเกินไป เสียงมันก็ไม่เพราะ อีกสายนึงพอดีๆ เสียงก็เพราะ เป็นเหตุให้พระองค์ได้สติว่าเรานี้มันทำมากเกินไป เมื่อทำเช่นนี้ไม่สามารถที่จะได้ตรัสรู้ เราก็จำเป็นจะต้องเดินสายกลาง พระองค์จึงได้หันมาบริโภคอาหารดังเดิม ทำร่างกายของพระองค์ให้เปล่งปลั่งดังเดิม 

ในครั้งนั้นพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ คือท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ วัปปะ ภ้ททิยะ มหานามะ อัสสชิ ผู้ที่เป็นพราหมณ์ได้ทำนายทายทักพระองค์ว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้มาคอยปฏิบัติอุปัฏฐากแก่พระองค์หนักหนา แต่เมื่อว่าพระองค์เวียนมาเพื่อความมักมาย มากินข้าวกินปลาซะแล้วเช่นนี้ คงจะไม่ได้ตรัสรู้เป็นแน่ เขาจึงได้หนีจากพระองค์ไป พระองค์ก็เลยได้ความสงบ 

ในเช้าวันนั้นนางสุชาดาก็ได้นำข้าวมธุปายาส จำนวน ๔๙ ก้อน เอามาถวาย เพราะว่านางได้บนบานแก่พระโพธิคยานั้นว่า ถ้าเราได้ลูกชายแล้ว เราจะได้ทำพลีกรรมแก่พระโพธิ์นี้ เมื่อนางได้บนบานเช่นนั้น นางก็ได้ลูกชายสมความประสงค์ นางจะได้ทำข้าวมธุปายาสซึ่งเอร็ดอร่อยที่สุด หรือเรียกว่าเป็นอาหารยอดที่สุดในสมัยนั้น แล้วก็ปั้นมาได้ ๔๙ ก้อน นำเอามาเพื่อที่จะมาถวายเทวดาที่นั่นที่ได้บนไว้อยู่ที่นั้นในเวลาเช้า ส่วนนางสุชาดาเมื่อเห็นพระองค์เข้า ก็นึกว่า โอ๋ เทวดานี่จำแลงตัวมารับของเราแน่แท้ จึงได้น้อมถาดทองคำถวายแก่พระองค์ไปในเวลาครั้งนั้น พระองค์ก็รับเอาถาดทองคำนั้นแล้วก็มองหน้านางสุชาดา นางสุชาดาก็พยักว่าได้ถวายหมด ทั้งข้าวมธุปายาสและถาดทองคำ 

พระองค์ได้เสวยข้าวมธุปายาสนั้น ๔๙ คำแล้วพระองค์ก็จึงได้ไปที่แม่น้ำเนรัญชราเพื่อที่จะได้ลอยถาด เมื่อไปถึงแล้วพระองค์ก็อธิษฐานว่าหากเราจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจริงแล้วไซร้ ขอให้ถาดนี้ลอยขึ้นเหนือน้ำเถิด ถาดก็เหมือนมีชีวิต พอพระองค์ปล่อยไป ถาดก็ลอยขึ้นเหนือน้ำแล้วก็จมดิ่งลงไป จมดิ่งลงไปถึงบาดาลนาคราช มีพญานาคตนหนึ่งนั้นเฝ้าถาดมาสามใบแล้ว ใบนี้ใบที่สี่ เพราะว่าถาดหนึ่งของพระเจ้ากกุสันโธ ถาดที่สองพระเจ้าโกนาคมโน ถาดที่สามของพระเจ้ากัสสโป มาถาดที่สี่นี้ก็ของพระพุทธเจ้าโคตโม เรานี้เมื่อวานนี้พระพุทธเจ้าตรัส(รู้)ไปองค์นึง แหมวันนี้มาตรัสไปอีกองค์นึงแล้ว พญานาคเพราะว่านอนจนกระทั่งกัปป์นึงถึงได้ตื่นทีหนึ่ง

ในอดีตชาติพญานาคนั้นเกิดในศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง เรียกว่ามีพระห้าร้อย มีเณรน้อยองค์เดียว วันนึงก็ไม่ได้หยุด คืนนึงก็ไม่ได้หยุด เดี๋ยวองค์นั้นใช้ เดี๋ยวองค์นี้ใช้ เณรก็ขยันน่าดูจะให้ตักน้ำก็เอา ต้มน้ำก็เอา ซักผ้าก็เอา ทำอะไรก็เอา ทีนี้ห้าร้อยใช้องค์เดียว ก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ก็เลยอธิษฐานว่า เกิดชาติหน้าฉันใดขอให้ได้นอนหมดกัปป์เลย แล้วก็เลยมาเกิดเป็นพญานาคอยู่ในแม่น้ำเนรัญชรานั่นแหละ ว่าพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งเกิดมาก็ตื่นมาทีนึงอย่างนี้ 

หลังจากนั้นพระองค์ได้กลับคืนไปยังป่า เขาเรียกว่าในป่าละเมาะแห่งนั้น มีพราหมณ์องค์หนึ่งชื่อว่า โสตถิยะ เมื่อเห็นพระองค์เข้า ก็เลื่อมใส ถวายหญ้าคามาแปดกำมือ พระองค์ได้หญ้าคานั้นแล้ว ก็เอามาปูลาดในใต้ต้นโพธิ์นั้น เมื่อค่ำลงไปแล้วพระองค์ก็เอาผ้าปูบนหญ้าคานั้นแล้วพระองค์ทรงนั่งสมาธิ แต่แล้วก็พระองค์ก็ได้อธิษฐานว่าเนื้อก็ดี หนังก็ดี จะเป็นอะไรก็ดีของร่างกาย กระดูกก็ดี มันจะหลุดออกไปเป็นชิ้นๆ มันจะต้องน้ำเลือดมันจะเหือดแห้งไป หัวกระโหลกมันจะหลุดจากกายไป ก็ไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด 

เมื่อพระองค์ตั้งสัตยาธิษฐานเช่นนั้นแล้ว ถ้าหากว่าไม่ได้ตรัสรู้ จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้แล้ว พวกพญามารวสวัตตีที่เคยอาฆาตของเวรกับพระองค์ก็มาแล้ว ลอยมาทางอากาศ ขับช้างนาฬาคีรีเมฆ มาถึงก็ซัดดอกซัดดาบใส่พระองค์ แต่ว่าหอกดาบเหล่านั้นก็ได้กลับกลายไปเป็นดอกไม้บูชาพระองค์ซะจนเกลี้ยงหมด ในที่สุดพญามารก็นั่งร้องไห้ ว่าเราแพ้พระสิทธัตถะซะแล้ว ในปฐมยามนั้น พระองค์ได้สำเร็จบุพเพนิวาสานุสติญาณ คือสามารถระลึกชาติหนหลังได้ ในมัชฌิมยามนั้น พระองค์ได้สำเร็จจุตูปปาตญาณ คือดวงตาทิพย์ รู้จักจุติและอุบัติเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปเกิดที่ไหน ในปัจฉิมยามพระองค์ได้สำเร็จเป็น อาสวักขยญาณ คือกำจัดกิเลสออกไปจากจิตของพระองค์โดยสิ้นเชิงในก่อนรุ่งอรุณในวันนั้น แล้วพระองค์ก็ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นในโลก

เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ทรงพิจารณาเห็นว่า โอ้โห คนทั้งหลายนี่กิเลสหนาปัญญาหยาบ ธรรมะที่เราตรัสรู้ละเอียดเหลือเกิน ทำยังไงถึงจะได้ธรรมะเหล่านี้เข้าไปถึงจิตใจประชาชน พระองค์ก็ขวนขวายน้อย ไม่เทศน์ดีกว่า ว่าเทศน์ลงไปก็ไร้ประโยชน์ ทันใดนั้นพรหมก็เกิดโกลาหลอลหม่านว่าพระพุทธเจ้าจะขวนขวายน้อยซะแล้ว ลงมาจากชั้นสวรรค์ มาอาราธนาพระพุทธเจ้า บอกว่าอย่าขวนขวายน้อยเลย จงเทศนาสั่งสอนหมู่สัตว์ทั้งหลายเถิด 

เมื่อพระพุทธเจ้าได้ฟังพรหมอาราธนาเช่นนั้นก็พิจารณาเห็นว่า อ๋อ สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาน้อยจะต้องมีคนดีบ้าง คนชั่วบ้าง คนอยู่ต่ำบ้าง คนอยู่สูงบ้าง เปรียบเหมือนดอกบัวสี่เหล่า เหล่านึงก็อยู่เปลือกตม อยู่เปลือกตมก็เป็นภักษาแห่งปลาและเต่า งอกเงยขึ้นไม่ได้ พวกนี้โปรดไม่ได้ คือคนต่ำช้าสามานย์ มีคนจำพวกหนึ่งเหมือนดอกบัวอยู่กลางน้ำ เทศนาไปเค้าก็อุตส่าห์ปฏิบัติไป ไม่ชาตินี้สำเร็จ ชาติหน้าเค้าก็จะได้สำเร็จต่อไป เปรียบเหมือนดอกบัวกลางน้ำ ดอกบัวเสมอน้ำก็เป็นผู้ที่มีบุญ มีวาสนา ได้ฟังธรรมคำสั่งสอนแล้วตั้งใจปฏิบัติไป เดือนบ้าง ปีบ้าง ไม่ละความพยายามก็จะได้สำเร็จเป็นอริยบุคคล เหมือนกับดอกบัวอยู่เสมอน้ำ เหมือนกับดอกบัวที่พ้นไปแล้วจากน้ำก็คือคนที่มีบุญ มีวาสนาสูง สามารถที่จะฟังธรรมเทศนาของพระองค์แล้วก็จะได้ตรัสรู้โดยพลัน พระองค์พิจารณาเห็นเช่นนี้แล้ว พระองค์ก็จึงได้รับอาราธนาแก่พรหมบอกว่าไม่ต้องห่วง เราจะเทศนาสั่งสอนแก่มหาชนแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเราเวลาที่พระท่านจะเทศน์ จึงต้อง

พฺรหฺมา จ โลกาธิปตีสหมฺปติ 

กตญฺชลี อนธิวรํ อยาจถ

สนฺตีธ สตฺตา อปฺปรชกฺขชาติกา

เทเสหิ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ

คือเป็นคำอาราธนาของท่านพระพรหม เราให้เกียรติแก่พระพรหม เมื่อพระพุทธเจ้าพิจารณาเช่นนั้นแล้วพระองค์ก็จึงได้หวนพิจารณาไปถึงว่า แต่เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้นั้น พระองค์ยังไม่ได้โปรดใครก่อน พระองค์ได้เสวยวิมุตติสุขอยู่ ๗ สัปดาห์ ใน ๗ สัปดาห์ก็คือ ๔๙ วันนั้น พระองค์ไม่ได้ฉันข้าวฉันน้ำเลย ในสัปดาห์หนึ่งอยู่ที่ต้นโพธิ์ สัปดาห์สองอยู่ที่ต้นเกตุ สัปดาห์สามอยู่ที่ต้นไทร สัปดาห์สี่อยู่ที่สระมุจลินท์คือต้นจิก สัปดาห์ที่ห้าพระองค์อยู่ที่รัตนฆรเจดีย์ สัปดาห์ที่หก พระองค์อยู่อัชปาลนิโครธ เป็นต้น ในเจ็ดสัปดาห์ก็รวม ๔๙ วันนั้น หลังจากนั้นพระองค์ก็จึงได้พิจารณาว่าเราจะไปโปรดใคร อ๋อ พระองค์ก็พิจารณาถึง อาฬารดาบสและอุทกดาบส ดาบสทั้งสองนั้น พระองค์ได้เคยไปเรียนด้วย แล้วก็ได้สำเร็จเพียงแค่ฌาณ ไม่ได้สำเร็จให้สูงไปกว่านั้น

เมื่อพระองค์พิจารณาว่าเราจะไปโปรดดาบสทั้งสอง พิจารณา อ้าว แล้วกัน! ดาบสทั้งสองได้สิ้นชีพ คือมรณะไปซะเมื่อวานนี้ซะแล้ว พระองค์จึงได้ทรงได้อุทานในใจว่า โอ้โห! เสียหาย เรียกว่าฉิบหายจากคุณอันใหญ่เสียแล้ว เสียดาย หลังจากนั้นพระองค์จึงจะไปโปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้าในกลางหนทางนั้นพระองค์ก็ได้ประทับอยู้ใต้โคนต้นไม้ 

ในขณะนั้นก็มีพ่อค้าสองคน คนหนึ่งชื่อว่าตปุสสะ คนที่สองชื่อว่า ภัลลิกะ ทั้งสองคนนั้นก็ได้เอาสัตตุก้อน สัตตุผงมาถวายแก่พระองค์เป็นครั้งแรกในวันนั้น ที่พระองค์จะเสวยอีก หลังจากพระองค์อดมา ๔๙ วัน ในทันใดนั้นพระองค์ก็คิดถึงว่าบาตรของเราหายไปไหน พวกท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ คือกษัตริย์ที่เป็นเทพทั้ง​๔ ก็เลยเอาบาตรมาถวายองค์ละบาตร เมื่อมาถึงพระพุทธเจ้าก็อธิษฐานบาตรสี่ใบให้เป็นใบเดียว บาตรก็เลยมีตะเข็บ เพราะฉะนั้นบาตรของเราที่ทำอยู่ทุกวันนี้ต้องมีสี่ตะเข็บเพื่อที่จะให้เป็นอันว่าอนุสรณ์ของพระเจ้าแผ่นดินเทพ ๔ พระองค์นั้น 

แล้วพระองค์ก็รับสัตตุก้อน สัตตุผง แก่ตปุสสะและภัลลิกะ ตปุสสะและภัลลิกะก็ทูลขอพระเกศาเพื่อที่จะนำไปประดิษฐานในเขาสิงขร พระพุทธเจ้าจึงได้ประทานเส้นพระเกศาให้แก่ตปุสสะและภัลลิกะนั้น ไว้ ๘ เส้น ตปุสสะและภัลลิกะนั้นก็จึงได้นำเส้นพระเกศาไปยังที่สิงขร เขาเรียกว่าสิงขรัง นะมาเมหัง เขาสิงขรก็คือประเทศพม่าในปัจจุบัน ในคราวครั้งนั้น ตปุสสะ ภัลลิกะก็ได้พากันโดยสารเอาเรือสำเภาไปค้าข้าย ค้าขายที่ประเทศพม่าแล้วก็ได้นำพระเกศาถวายแก่พระเจ้าแผ่นดินประเทศพม่า พระเจ้าแผ่นดินก็ดีใจ ได้สร้างพระเจดีย์ขึ้นมา ชื่อว่าเจดีย์ชเวดากองที่เราเรียกว่าเจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง แต่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เค้าเรียกว่า เจดีย์ทองคำ 

แล้วก็ตปุสสะ ภัลลิกะก็เข้าไปในป่า ไปเก็บเอางาช้าง เพราะว่าตะขาบมันกินช้าง ตะขาบนั้นมันใหญ่ กินช้างจนกระทั่งกินช้างไปหลายตัว แล้วมันก็เอางามากองไว้ ตปุสสะ ภัลลิกะก็ช่วยกันขนงาใส่เรือสำเภา แล้วตปุสสะ ภัลลิกะก็รีบกลับ เมื่อตะขาบมาเห็นงาช้างหายไป มันก็ฉิว มันจึงได้ลอยน้ำไล่ตามเรือสำเภาไป ทีนี้ตะขาบมันเร็วกว่าเรือสำเภา ใกล้ต่อที่จะทัน ถ้าหากมันทัน มันก็คว่ำเรือสำเภา กินคนหมด แต่ว่าพอมันไปถึงนั้นมันก็มีปูใหญ่อยู่ในทะเลนั้น ปูมันใหญ่ขนาดไหน เรือสำเภาแล่นผ่านก้ามมันไปไม่ได้ แต่ว่าตะขาบใหญ่ขนาดไหน ตะขาบแล่นผ่านก้ามมันไปไม่ได้ ไปลัดก้ามปู ปูก็เลยงับตะขาบขาดสองท่อน ตายคาที่ ตปุสสะภัลลิกะก็กลับประเทศอินเดียอย่างสบายแล้วก็ไปขายเป็นมหาเศรษฐี 

พระพุทธเจ้าให้พระเกศาแก่ตปุสสะ ภัลลิกะแล้ว ตปุสสุ ภัลลิกะก็เลยจึงได้เดินทางไปดังกล่าวแล้ว พระองค์จึงได้เสด็จไปป่าอิสปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี เพื่อที่จะไปโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงทรมานปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ให้หายพยศแล้ว พระองค์ก็เทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่เรียกว่าปฐมเทศนา จนกระทั่งปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้สำเร็จเป็นอริยบุคคลแล้วพระองค์ก็ให้พระปัญจวัคคีย์บรรพชา แล้วพระองค์ก็แสดงอนัตตลักขณสูตร จนกระทั่งปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ได้จำพรรษาอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั้น

ในคราวนี้มีเศรษฐีชื่อว่ายสะ มีปราสาทสามหลังเช่นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน รวยนับไม่ถ้วน มีนางสนมมากมาย แต่ว่าเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาแล้ว เพราะมาเห็นพวกนางบำเรอเหล่านั้นพากันนอนหลับใหล ผ้าผ่อนหลุดบ้าง น้ำลายไหลบ้าง แลบลิ้นปลิ้นตา จึงได้หนีจากปราสาทนั้นบ่นมา บอกว่า ที่นี่ขัดข้อง ที่นี่วุ่นวาย ที่นี่ขัดข้อง ที่นี่วุ่นวาย พระพุทธเจ้าได้ยินเข้า พระองค์จึงได้ตรัสว่า “นี่ ที่นี้ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่วุ่นวาย มาสิ เราจะแสดงธรรมให้ท่านฟัง”

แล้วพระยสกุลบุตรก็ได้เข้าพบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็แสดงอนุปุพพิกถา และ อริยสัจ ๔ ทำให้ยสกุลบุตรได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา ได้ทรงมาได้บรรพชากับพระพุทธเจ้า สหายของพระยส กำหนดมี ๕๔ คน ก็เป็นเศรษฐีทั้งสิ้น เรียนจบไตรเพททั้งสิ้น ได้ยินข่าวพระยสได้บวชซะแล้ว ก็จึงได้พากันมาเสียสละสมบัติทั้งปวงแล้วก็มาบวชกับพระยสเป็นต้น เมื่อแล้วพระพุทธเจ้าก็บวชให้หมดทั้ง ๕๔คนแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ ทั้งหมดก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จำพรรษาอยู่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ทั้งหมด ๖๐ ๖๑ ทั้งพระองค์ 

เมื่อออกพรรษาแล้ว พระองค์ก็จึงได้ประกาศแก่สาวก ว่าท่านทั้งหลายจงไปคนละทิศ ทิศละองค์เถิด ไปโปรดกุลบุตรกุลธิดาและประชาชนทั้งหลาย ให้ได้พบอรรถธรรมตามที่ตนได้ความรู้จากพระองค์แล้ว สาวกต่างๆก็ได้พากันสัญจรออกไปในทิศละทาง ช่วยพระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนา พระองค์ก็ได้ฟังคำของพระเจ้าพิมพิสารว่าจะต้องไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พระพุทธองค์จึงได้เสด็จกลับไปยัง อุรุเวลาเสนานิคม เลยไปแล้วแต่ก่อนจะแสดงพระธรรมเทศนาแก่ท่านพระเจ้าพิมพิสารนั้น พระองค์ก็พิจารณาเห็นว่าชฎิลทั้งพันสาม นี่ประชาชนชาวนครราชคฤห์เค้าเลื่อมใส จึงได้ไปทรมานชฎิลทั้งพันสามนั้นให้เลื่อมใส 

การทรมานของพระองค์นั้น ในวันหนึ่งน้ำท่วม เมื่อน้ำท่วมก็เหมือนน้ำท่วมกรุงเทพ แต่ว่ามันมากกว่าน้ำท่วมกรุงเทพเพราะว่ามันน้ำท่วมหลังคา พวกชฎิลทั้งพันสามนึกว่าพระพุทธเจ้าตายซะแล้วเพราะว่าไม่มีเรือ พวกชฎิลน่ะมีเรือก็ขึ้นเรือไป พายเรือไปดู ที่ไหนได้พระองค์ทรงแหวกน้ำเดินจงกรมสบายอยู่ในใต้ท้องน้ำซะแล้ว เกิดพากันเลื่อมใสก็พากันบวชกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็แสดงอาทิตตปริยายสูตร ทำให้ชฎิลทั้งพันสามนั้นได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระองค์ก็พาชฎิลทั้งพันสามเสด็จไปนครราชคฤห์ เพื่อที่จะได้โปรดพระเจ้าพิมพิสาร 

พระเจ้าพิมพิสารเมื่อได้สดับข่าวแล้ว ก็พาบริวารมาทั้งหมด ๑๒ นหุต​(หมื่น)ด้วยกัน แล้วก็มาเพื่อที่จะฟังธรรมเทศนา ณ ลัฏฐิวัน แต่ว่าเมื่อมาถึงแล้ว พวกประชาชนก็พากันสงสัย สงสัยว่าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกชฎิล หรือว่าชฎิลเป็นสาวกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารู้วาระจิตใจของมนุษย์เหล่านั้นแล้ว ก็ขยับตาไปยังพวกชฎิลก็พาเลยกันเหาะหนึ่งลำตาล สองลำตาล ถึง เจ็ดลำตาลแล้วก็ลงมากราบพระพุทธเจ้า ประชาชนก็ร้อง โอ้โห น่าอัศจรรย์หนอ พระพุทธเจ้าทรงแสดงอนุปุพพิกถา อริยสัจ ประชาชนก็พากันได้สำเร็จเป็นอริยบุคคล ๑๑ นหุตเหลือ ๑ นหุต ถึงซึ่งพระไตรสรณคมน์ พระเจ้าพิมพิสารก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน 

แล้วก็ทรงถวายวัดเป็นวัดแรกคือ วัดเวฬุวันกลันทปนิวาปสถาน หลังจากนั้นพระองค์ก็เสด็จไปอยู่ ณ นครสาวัตถี ที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ถวายซึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้สละทรัพย์ถึง ๔๕๐ ล้านสร้างวัดถวายแด่พระพุทธเจ้าอันมีนามว่าวัดพระเชตุวัน จากนั้นพระองค์ก็ได้แนะนำสั่งสอนประชาชนคนทั้งหลายทั่วสากลชมพูทวีปเป็นระยะเวลาอันยาวนานถึง ๔๕ พรรษาแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปปรินิพพาน ณ ที่เมืองกุสินารา 

อันพระเจ้ามัลลกษัตริย์ทั้งหลายเป็นผู้ปกครองอยู่เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วนั้น ร่างกายของพระองค์นั้นได้ถูกเผาผลาญด้วยไฟอันเป็นทิพย์ ร่างกายของพระองค์ก็กลับกลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุ อย่างโตที่สุดเท่าเมล็ดถั่วเขียว อย่างเล็กที่สุดเท่าเมล็ดงา พระเจ้าแผ่นดินต่างๆที่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าก็พากันส่งสาส์นมาขอ บอกว่าขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุด้วยเถิด เจ้ามัลลกษัตริย์ไม่ยอม เพราะพระพุทธเจ้ามาปรินิพพานเมืองเรา ไฉนเลยเราจะให้คนอื่นได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นพระเจ้าแผ่นดิน ๖ ๗ ๘ หัวเมืองทั้งหมดจึงได้ยกกรีฑาทัพมาถึง ก็ล้อมเมืองกุสินาราที่จะเข้าโจมตีแย่งเอาพระธาตุ 

แต่ว่าอาศัยโทณพราหมณ์ผู้ที่มีสติและปัญญา จึงได้ประกาศแก่กษัตริย์ทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจะพากันมารบราฆ่าฟันด้วยเหตุแห่งพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านั้นหาสมควรไม่ สมควรที่พวกเราจะได้พากันแบ่งกันให้ถูกต้อง ก็เป็นอันว่าโทณพราหมณ์ได้ประกาศแก่กษัตริย์ทุกคน ก็ได้ยอมลงไปแล้ว ก็ได้ถวายให้แก่กษัตริย์ทุกองค์ องค์ละทะนานๆๆไป 

ส่วนโทณพราหมณ์ก็ขี้โลภ เห็นพระเขี้ยวแก้วจึงได้ซ่อนพระเขี้ยวแก้วใส่ในมวยผม เทวดาก็รู้อีกแหละ ก็เลยมาขโมยพระเขี้ยวแก้วเอาไปที่ชั้นดาวดึงส์ ไปทำพระมหาเจดีย์ไว้บนชั้นดาวดึงส์นั่น แล้วทีนี้หลังจากนั้นมาพระมหากัสสปะก็เลยได้รวบรวมเอาพระธาตุ กลัวว่าพระบรมธาตุที่พระเจ้าแผ่นดินทั้งหลายนำเอาไปสร้างพระเจดีย์ไว้ถึง เจ็ด แปดหัวเมืองนั้น จะมีพวกอันธพาลมาขโมยเอาไป พระกัสสปจึงได้รวบรวมพระธาตุทั้งหมดนั้นเก็บเอาไว้ แล้วก็เอามารวมไว้แห่งเดียว ขุดลึกลงไป ๖๐ ศอกแล้วก็ให้พระอินทร์ พระอินทร์ก็สั่งเทวดาคุ้มกันไว้ 

ต่อมาศาสนาล่วงมาถึง ๑๑๖ ปี สมัยที่พระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ก็จึงอยากได้พระบรมธาตุที่จะสร้างพระเจดีย์ ๘๔๐๐๐ องค์นี้ ทำไมถึงจะได้ พระองค์ก็จึงได้ถามแก่พระอรหันต์ทั้งหลายว่า พระบรมสารีริกธาตุนี้มีที่ไหนบ้าง ต่างคนก็ต่างพากันงงงันไปหมด ก็จึงไปเห็นพระเถระองค์แก่องค์หนึ่ง อายุ ๑๒๐ปี แกก็บอกว่าเมื่อตอนแกเป็นเณร เห็นอาจารย์ไปไหว้ทุกวันๆ ตรงนั้นน่าจะเป็นพระบรมธาตุอยู่ พระเจ้าอโศกก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง จึงให้พระองค์นั้นไป ก็ไปขุด ที่ไหนได้ เจอพระบรมธาตุทั้งแปดทะนาน ครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ที่นั่น พระอโศกมหาราชมองไปมองหาก็จึงเห็นท่อนจันทน์มาท่อนหนึ่งว่าต่อไปภายหน้าพระเจ้าแผ่นดินคนจนจะมานำเอาพระบรมสารีริกธาตุนี้ไป ทรงโมโหหนักหนาว่าพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนน่ะรวยแค่ไหนเชียวนะ จะหาว่าเราเป็นคนจนได้ เอาเถอะ แล้วพระเจ้าอโศกก็จึงได้นำพระธาตุนั้นมา แล้วก็สั่งให้ประเทศราชทั้งหลายพากันสร้างพระเจดีย์รวม ๘๔๐๐๐ องค์ ที่จะนำแจกพระบรมธาตุทั้งหมดแปดทะนาน เอาไปไว้แก่พระเจดีย์ทั้งหมด

พญามารวสวัตตีมันก็เอาอีกแล้ว บอกว่าเราจะต้องต่อสู้ ไม่ให้พระเจ้าอโศกนี้ฉลองพระบรมสารีริกธาตุนี้ให้ได้เป็นอันขาดเลยทีเดียว เราจะต้องทำลายพิธีนี้ให้ได้ แล้วพญามารก็จึงได้ประกาศก้องว่า “พระเจ้าอโศกจะฉลองพระเจดีย์ ๘๔๐๐๐ เจ็ดปีเจ็ดเดือนเจ็ดวันไม่ได้ ถ้าฉลองเจ็ดปีเจ็ดเดือนเจ็ดวันเมื่อไหร่ ฉันจะทำลายพิธีนี้ให้หมด” 

เสียงนั้นเข้ามาทางอากาศเข้าโสตประสาทพระเจ้าอโศก ตกใจเป็นอย่างยิ่ง จึงได้นำเสียงเหล่านี้ไปกราบเรียนแด่พระเถระว่าจะมีพระองค์ไหนที่มีฤทธิ์ต่อสู้กับพญามารได้ เพราะข้าพเจ้าจะฉลองพระเจดีย์นี้ถึงเจ็ดปีเจ็ดเดือนเจ็ดวันน่ะ พระสงฆ์ทั้งหลายก็จึงได้ประชุมสงฆ์กันขึ้นว่า ทำยังไง ใครจะมีฤทธิ์ต่อสู้กับพญามารได้ 

ในขณะที่ประชุมนั้นก็มีพญานาคเข้ามาประชุมด้วย ทันใดนั้นพญาครุฑก็บินมาจากอากาศ ไล่โฉบพญานาค พญานาคจะชำแหละแผ่นดินก็ชำแหละไม่ทัน เพราะเล็บของพญาครุฑใกล้จะถึงเกล็ดพญานาคแล้ว ในทันใดนั้นสามเณรอายุได้ ๗ ขวบแต่ว่าสำเร็จพระอรหันต์ก็จึงได้เข้าวาโยกสิณ ทำฤทธิ์พัดเอาพญาครุฑบินตกไปนอกขอบจักรวาล พญานาคขอบใจไหว้สามเณร แล้วก็ชำแหละแผ่นดินออกไป 

พระเถระก็จึงบอกว่าได้ตัวแล้วว่าสามเณรนี่เก่ง เอาสามเณรนี่ต่อสู้กันกับพญามารคงจะสำเร็จได้ สามเณรบอกว่า ผมไม่เก่ง อาจารย์ของผมเก่งกว่าผม อาจารย์ของเธออยู่ที่ไหน พระเถระถาม อาจารย์ของผมอยู่ใต้สะดือทะเลโน่นแน่ะ ท่านชื่อว่าอุปคุต ไปนิมนต์ท่านมาเถิด ก็พระเถระจึงใช้พระอรหันต์สององค์ดำลลไปในใต้สะดือทะลไปนิมนต์พระอุปคุต ซึ่งไปสำเร็จอิทธิบาทไปอยู่ที่นั่นมาเป็นเวลาถึงร้อยปีแล้ว 

พระอุปคุตนั่น เมื่อไปถึงแล้วก็พระทั้งสองก็เลยอาราธนาขอให้พระอุปคุตนี้กลับคืนมาช่วยเถิด ช่วยพระเจ้าอโศกด้วย พระอุปคุตจึงบอกว่าพวกแกไปก่อน เดี๋ยวฉันจะไปทีหลัง เมื่อพระสององค์กลับมา ที่ไหนได้พระอุปคุตมานั่งทะเล่ออยู่ในท่ามกลางสงฆ์ซะแล้ว นี่คือฤทธิ์พระอุปคุต 

แต่ว่าพระอุปคุตนั้นไม่เคยจะฉันข้าวเลย เป็นเวลาเกือบร้อยปี ร่างกายจะเป็นไง ก็เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก อยู่ได้ด้วยอิทธิบาท ๔ เท่านั้น พระเจ้าอโศกมหาราชเห็นพระอุปคุตเข้า ก็โอ้โห อย่างนี้นะที่จะไปสู้กับพญามาร จึงได้ปล่อยช้างอันมีกำลังเรียกว่าช้างตกมัน ไล่เพื่อจะมาเหยียบพระอุปคุต พระอุปคุตว่า เอ้ย ช้างนั้นน่ะเป็นหินนั่นแหละ ทีเดียวเท่านั้นช้างเป็นหินซะแล้ว พระเจ้าอโศกเห็นฤทธิ์ของพระอุปคุตแล้วตกใจ โอ้โห องค์นี้มีฤทธิ์มาก เลยมาขอขมาโทษ 

ทันใดนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชก็จึงให้ประกาศให้ประชาชน คนทั้งหลายพากันฉลองเจดีย์ไม่ต้องกลัวใครแล้ว เจ็ดปีเจ็ดเดือนเจ็ดวันเอาเลย เค้าก็ตามประทีป คือหมายความว่าจุดไฟพร้อมกัน จุดประทีปพร้อมกันตลอด ๘๔๐๐๐ องค์ ดวงละสองพันดวง ดวงละสองพันดวงอย่างนี้ ๘๔๐๐๐ ก็เรียกว่าเหลืองอร่าม

ทีนี้พญามารก็แปลงเป็นโคอุสุภราชแหวกอากาศออกมาไล่ชนพวกประทีปธูปเทียนเหล่านี้ให้กระจัดกระจายไป พระอุปคุตก็แปลงเป็นเสือไล่กัด ไล่กัดวัวกระทิง วัวกระทิงก็เลยแปลงเป็นราชสีห์ พระอุปคุตก็เลยแปลงเป็นยักษ์จับราชสีห์ ราชสีห์ก็แปลงเป็นยักษ์ ต่างคนต่างแปลง ในที่สุดพญามารสู้ไม่ไหวก็เลยแปลงเป็นมานพน้อย เพื่อที่จะเข้ามาหลอกพระอุปคุตว่าผมขอเป็นลูกศิษย์เพื่อให้พระอุปคุตตายใจ เมื่อพระอุปคุตตายใจแล้วจะจับขาอุปคุตเหวี่ยงไปนอกขอบจักรวาล แต่ก็ท่านอุปคุตก็รู้นี่ ไอ้เด็กน้อยคนนี้ก็คือพญามารก็เลยเอาหนังหมาเน่ามัดเข้าไปที่คอ 

โอ้โห คราวนี้เหม็นน่าดูเลย แก้ยังไงก็แก้ไม่ไหว ไปหาพระอินทร์ก็แก้ไม่หว ไปหาพระพรหมก็แก้ไม่ไหว ไปหาใครก็แก้ไม่ไหว ในที่สุดพระพรหมก็เลยแนะนำบอกว่าต้องไปกลับคืนไปหาอุปคุตนั่นแหละ ถ้าไม่กลับคืนไปหาอุปคุต ไม่มีทางมีใครแก้ได้หรอก เสร็จแล้วก็เลยแก้ มันก็เลยกลับคืนมา พระอุปคุตเห็นได้ที เอ้า แก้ก็แก้ เมื่อแก้เสร็จแล้วก็เอาสายรัดประคดมัดพญามารนั้นไว้กับภูเขาสิเนรุราช พระเจ้าแผ่นดินอโศกมหาราชจะฉลองพระมหาเจดีย์ ๘๔๐๐๐ องค์เจ็ดปีเจ็ดเดือนเจ็ดวัน เราจะมัดแกไว้ในภูเขานี้ เจ็ดปีเจ็ดเดือนเจ็ดวัน แกไม่ต้องไปไหน 

เสร็จแล้วพระอุปคุตก็ไปนั่งเข้าฌาณสบาย พญามารก็เลยดิ้นจนภูเขาแทบจะหลุด แต่ไม่สามารถจะดิ้นหลุดได้ ร้องโอดครวญคราง จนกระทั่งในที่สุดก็ไม่ถึงเจ็ดปีเจ็ดเดือนเจ็ดวันหรอก พญามารยอมก่อน บอกว่าต่อนี้ไปข้าพเจ้าขอปรารถนาเป็นโพธิญาณจะเป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ในอนาคตกาล เมื่อพระอุปคุตได้ยินก็เลยไปแก้เพราะว่าเป็นพระโพธิสัตว์เสียแล้ว แล้วก็พญามารนั้นก็เลยมาเป็นลูกศิษย์พระอุปคุต แล้วก็อุปคุตเกิดไม่ทันพระพุทธเจ้า ก็ให้พญามารเนี่ยแหละอธิษฐานรูปพระพุทธเจ้าให้ดูหน่อย พญามารก็บอกว่าเวลาที่ผมอธิษฐานเป็นรูปพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านอย่าได้กราบฉันนะ (หลังจากแปลงกาย พระอุปคุต)ก็รีบกราบ พญามารก็รีบหายตัว บอกแล้วว่าไม่ให้กราบ ทำไมจึงกราบ ในที่สุดพระอุปคุตก็บอกว่า ไม่ได้กราบแกเว้ย ฉันกราบพระพุทธเจ้าต่างหาก 

เรื่องก็เลยจบลงแต่เพียงเท่านี้ ท่านทั้งหลายวันนี้ก็ได้อธิบายให้ฟังแล้วจงพากันจดจำนำไปพินิจพิจารณา เมื่อเห็นดีเห็นชอบประการใด ประพฤติตามก็จะประสบความสุขความเจริญงอกงามในธรรมวินัยคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกทิพาราตรีกาล ดังได้แสดงมา เอวัง ก็มีด้วยประการะฉะนี้