Skip to content

ข่าวจากยมบาล

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

| PDF | YouTube | AnyFlip |

นั่งภาวนา สำรวมใจของตนให้ดี ใจมันจะนิ่งได้ก็เพราะอาศัยสติ สติระลึกเข้ามาหากายหาใจ ใจอยู่ตรงไหน สติหยั่งเข้าไป เรามารวมกันในที่นี่ ให้พึงเข้าใจว่าเพื่ออบรมตน ทำอย่างไร จิตใจมันจะสงบลงไป เราก็ทำลง แต่การที่ใจจะสงบลงได้ อาศัยความอดทน อดกลั้นต่อความเจ็บความปวด อดกลั้นต่อเวทนาต่างๆ อดกลั้นต่อความคิด ไม่คิดส่งไปภายนอก กำหนดอยู่แต่ภายใน พยายามมีสติประคองจิต ให้กำหนดรู้อยู่ภายใน อันนี้เป็นกรรมวิธีที่จะทำใจให้สงบระงับลงไปเบื้องต้น ถ้าขาดความอดทนแล้ว ไม่ไหว จิตนี่มันสงบลงไม่ได้ เพราะมันอ่อนแอ ถูกกิเลสผลักดันเอา สู้อำนาจของกิเลสไม่ได้ ก็เลื่อนลอยไป ทีนี้เมื่อเราสร้างความอดทนให้เกิดขึ้นในใจว่าเราจะไม่คิด เราจะหยุดนิ่งอยู่ในปัจจุบันนี้ เราตั้งความอดลงไปอย่างนี้ มันก็พอบรรเทาแหละ เพราะความอดนี้ย่อมเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้ อะไรๆก็สู้ความอดไม่ได้ 

ดังนั้นอย่าไปลืมธรรมะข้อนี้ สำคัญมาก สำคัญไปจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตโน่น วันสุดท้ายแห่งชีวิตนั่น ความเจ็บ ความปวด ความเมื่อยล้า อะไรสารพัด มันจะไปรวมกัน อยู่ตรงนั้นแหละ บรรดาความทุกข์ทั้งหลาย มันก็ไปรวมลงในวาระสุดท้ายแห่งชีวิตนั้นน่ะ ฉะนั้นถ้าใครไม่สร้างความอดทนไว้แต่เวลายังปกติอยู่นี่ พอไปถึงเวลานั้นเข้ามาแล้ว มันก็ต้านทานต่ออำนาจของกิเลสไม่ได้ จิตนี่ ต้านทานต่อทุกขเวทนาไม่ไหว จิตใจก็เลื่อนลอย ควบคุมไม่ได้ นั่น มูลเหตุที่จะไปสวรรค์ ไปนิพพานไม่ได้ ก็เพราะเหตุนั้นแหละ อย่าว่าแต่จะไปนิพพานเลย จะไปสวรรค์นี่ก็ไม่ได้ จิตใจบังคับไม่ได้อย่างนั้น แล้วมันก็วกเวียนอยู่ในโลกนี่ ไม่ไปไหน ถ้าหากว่า…อย่างว่าทำบุญ ทำดี แล้วก็มาเกิดเป็นคนอีกเท่านั้นแหละ ไม่ได้ไปนรก 

ถ้าทำบาปไว้แล้วก็ ไม่ได้วนเวียนอยู่ในโลกอันนี้แล้ว ไปสู่ยมโลกนู่น แล้วแต่ยมบาลจะตัดสินไปยังไง ก็ขึ้นอยู่กับยมบาล จะพึงซักถามว่าได้ทำบุญอย่างไร ได้ทำบาปอย่างไรตั้งแต่เป็นมนุษย์ จะไปโกหกยมบาลก็ไม่ได้ เพราะว่ายมบาลรู้ มีบัญชีอยู่หมด ใครทำบาปก็มีอยู่อีกบัญชีนึง ใครทำบุญก็มีอยู่อีกบัญชีนึง อย่างนั้น เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณใด ตายแล้วถ้าไปสู่สำนักยมบาลนะ มันต้องพูดตรงไปตรงมา ถ้าหากว่าเวลายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ผู้นั้นมาปรารภถึงความแก่ ความเจ็บ ความตายอยู่เสมอๆ ว่าคนเรานี่ชีวิตน่ะเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของแน่นอน ตายลงไปแล้ว เราทำกรรมดีไว้มาก กรรมดีก็จะนำไปสู่ความสุข ถ้าเราทำกรรมชั่วไว้มาก ความชั่วก็จะนำไปสู่ความทุกข์ ได้หมั่นพิจารณาอยู่อย่างนี้จนชิน จนไม่เห็นว่าชีวิตนี้เป็นไปอย่างอื่น จนมันเห็นตามสภาพความจริงอย่างนี้ 

เวลาไปสู่สำนักยมบาล ยมบาลก็จะถามว่า ตอนเป็นมนุษย์อยู่นั่นน่ะ เคยเห็นคนแก่ไหม เคยเห็นคนเจ็บไหม เคยเห็นคนตายไหม ก็จะต้องตอบว่าเคยเห็น เมื่อเห็นแล้วพิจารณาอย่างไร ถ้าผู้ที่เคยพิจารณาบ่อยๆอย่างว่านั้นนะ ก็จะตอบยมบาลว่า “เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วก็เกิดความสังเวชสลดใจ ว่าคนเรานี่ เกิดมาแล้วชีวิตสังขารร่างกายนี่เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้น แล้วก็แปรปรวนในท่ามกลาง ก็แตกดับในที่สุด” ก็เป็นอย่างเนี้ย เคยคิด เคยพิจารณา จนเกิดความสังเวชสลดใจในนามในรูปอันนี้ ยมบาลถามว่าเมื่อเกิดความสังเวชสลดใจแล้วทำอย่างไรต่อไป ก็จะต้องตอบยมบาลว่า “เมื่อเห็นว่าชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน แล้วเช่นนี้ก็รีบเร่งทำบุญกุศลเข้าไป ไม่ประมาท สิ่งใดที่เป็นบาปเป็นโทษก็ไม่ทำ ไม่พูด ก็พยายามทำ พยายามพูดแต่ในสิ่งที่มันไม่เป็นบาปเป็นโทษมาโดยลำดับ” เออ…ถ้าเช่นนั้นน่ะ เจ้าก็เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในชีวิต สมควรที่จะได้รับความสุขความเจริญต่อไป แล้วยมบาลก็ปล่อยขึ้นสวรรค์บัดนี้

ถ้ายมบาลถามอย่างนั้น บางคนน่ะไม่เคยได้ภาวนา ไม่เคยได้พิจารณา ถึงความแก่ความเจ็บความตาย ไม่ได้พิจารณาถึงกรรมดี กรรมชั่ว ไม่ได้พิจารณาถึงผลแห่งกรรมดีกรรมชั่ว มันเป็นอย่างไร เมื่อยมบาลถาม ก็ตอบไม่ได้ ตอบได้แต่ว่า “คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา” เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว ทำอย่างไรต่อไป “ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อไป ไม่ได้ทำความดีอะไร” เมื่อไม่ทำความดีแล้วไปทำอะไร ก็ไปทำบาป ฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง ประพฤติผิดในกามบ้าง กล่าวมุสาวาทบ้าง ดื่มสุรา กัญชา ยา ฝิ่น เฮโรอีนบ้าง ผู้ใดทำกรรมชั่วอย่างไรก็ต้องระบุออกไปอย่างนั้น โกหกไม่ได้ ยมบาลมีลงบัญชีไว้แล้ว ยมบาลก็จะพิจารณาบัดนี้ พิจารณาก็เห็นว่าแกนี่เป็นผู้ประมาท เกิดเป็นคนทั้งที ได้พบพุทธศาสนาด้วย ทำดีไม่ได้ ทำแต่กรรมชั่ว กรรมชั่วนั่นจะต้องตามสนองแกให้เป็นทุกข์ เราก็ช่วยไม่ได้ 

พอยมบาลตรัสอย่างนั้นแล้วก็นิ่งอยู่ ต่อจากนั้นนายนิรบาลก็นำนักโทษอันนั้นน่ะ ไปแล้วบัดนี้…ไปโยนลงนรกโน่น ได้รับทุกข์ทนทรมาน น้ำร้อนลวก ไฟเผา ตายแล้ว บาปกรรมไม่หมดก็เกิดขึ้นมาใหม่ เกิดขึ้นมาแล้วก็ถูกน้ำร้อนลวกไฟเผา ร้องครวญคราง ดิ้นกระเสือกกระสนไปมา ปีนป่ายขึ้นไปบนบก อ้าว นายนิรบาลก็จับซัดลงไปสู่นรกอีก ทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้นน่ะ นานแสนนาน กว่าจะพ้นจากนรกใหญ่มา เมื่อพ้นจากนรกใหญ่มาแล้ว ก็มาตกนรกน้อยบัดนี้ นรกขุมน้อย ทนทุกข์ทรมานอยู่นั่นอีก ก็ไม่หนักเหมือนนรกใหญ่ นานไปๆ บาปกรรมที่มันให้ไปตกนรกหมดลง ก็พ้นจากนรกนั้น 

พอพ้นจากนรกนั้นไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นเปรตบัดนี้ เพราะบาปกรรมยังไม่หมด เสวยทุกข์ทนทรมานจากความเป็นเปรตอยู่นั่นก็นาน อดข้าวอดน้ำ เพราะว่าตนไม่ได้ทานข้าวมาแต่ก่อนโน้น ไม่มีผ้านุ่งผ้าห่ม เพราะว่าตนไม่ได้ให้ผ้านุ่งห่มเป็นทานมาแต่ก่อน ไม่ได้ให้น้ำเป็นทาน หิวน้ำ น้ำอยู่ใกล้ๆก็ดื่มไม่ได้เพราะท่านกล่าวไว้ในตำราว่า ปากของเปรตนี่มันเล็กเหลือเกินนะ เพียงแต่แค่ว่าเอาเข็มหยั่งเข้าได้เท่านั้นเอง แล้วน้ำมันจะเข้าได้ยังไงอ้ะ เป็นอย่างนี้ บุคคลผู้ที่มีบาปติดตัวไป จะต้องได้เสวยทุกข์ทนทรมานไปโดยลำดับๆ อ้าว หมดจากกรรมเวรอันที่ให้ไปเป็นเปรตหมดลง ก็ไปเกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นคนดุร้าย เป็นคนอำมหิต เป็นคนขี้กระจอกงอกง่อย หาเลี้ยงตัวเองก็ไม่ได้ อาศัยผู้อื่นเป็นอยู่ อ้าว หมดจากกรรมเวรที่ให้เกิดเป็นอสุรกายนั่นแล้ว ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน พ้นจากสัตว์เดรัจฉานนั่นแหละถึงได้เกิดมาเป็นคน 

เมื่อหากว่าผู้นั้นได้สร้างบุญกุศลไว้บ้างแต่ก่อนนั่น บัดนี้ถึงวาระบุญมันให้ผลมัน ถ้าได้เกิดมาเป็นคน แต่ว่าเมื่อเศษบาปอันนั้นยังไม่หมด ก็ต้องมาเกิดเป็นคนขี้กระจอกงอกง่อยอีกแล้ว ร่างกายก็ไม่สมบูรณ์พูลสุข มีข้อบกพร่องอันใดอันหนึ่งอยู่นั่นแหละ แล้วก็ไม่เป็นที่พอใจของบุคคลทั้งหลาย คนทั้งหลายได้เห็นเข้าก็รังเกียจเดียจฉันท์ ไม่ปรารถนาจะคบหาสมาคมด้วย อันนี้เรียกว่าเศษบาปนี่น่ะ มันปานนั้นแหละ เราเห็นกันอยู่ไม่ใช่เหรอ หมู่มนุษย์ที่เกิดมาบางหมู่บางพวกน่ะ มีร่างกายทุพพลภาพ ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องขอทานเขากินไปวันๆน่ะ อย่างนี้นะ มันเห็นกันอยู่ดาษดื่น แต่เห็นแล้วไม่คิด ไม่เอามาคิดใส่ใจ ไม่สอนใจตัวเองว่าไอ้ที่ตนมีอวัยวะร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์อย่างนี้เนี่ย ตนไม่มีกรรม ไม่มีเวรอย่างคนเหล่านั้น ทั้งนี้เพราะอะไร อ้าว บางรายก็ว่ากรรมเวรที่ทำมาแต่ก่อนน่ะมันหมดลงแล้ว บุญอำนวยผลให้ต่อบัดนี้นะ จึงได้มีร่างกายสมบูรณ์บริบูรณ์ อ้าว บางจำพวกก็จุติจากสวรรค์นั่นลงมา มาเกิดเป็นคนในโลกนี้ บุญอันนั้นก็ตามมาตกแต่งอวัยวะร่างกายให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งสวยทั้งงาม ทั้งมีอายุยืนยาวนานอีกด้วย 

อันนี้ ความที่สัตว์ทั้งหลายมาเกิดในโลกอันนี้นะ มันมีอยู่ ๒ ประเภทอย่างนี้ หรือจะว่า ๓​ ก็ได้ ประเภทหนึ่งจุติจากพรหมโลกลงมาเกิด ประเภทที่มาจากพรหมโลกนี่ เกิดขึ้นมาแล้วส่วนมากไม่ค่อยจะแต่งงาน เมื่อเจริญวัยใหญ่โตเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นมา ชอบแต่จะออกบวช เพราะว่าพรหมนั้นน่ะ เป็นผู้ที่เจริญพรหมวิหาร ๔ เจริญฌาณตั้งแต่เป็นมนุษย์ อานิสงส์ฌาณนั่นน่ะ พอตายแล้วก็ให้ไปเกิดพรหมโลก แล้วกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตกเหล่านี้ไม่มีอยู่ในพรหม พรหมนั้นมีใจสงบระงับอยู่เรื่อยไป ท่านว่าไม่เพศหญิง ไม่มีเพศชาย รูปพรหมเนี่ย เพราะฉะนั้น หมดอายุสังขารจากพรหมแล้ว นิสัยอันนั้นก็ติดตามมา พอมาเกิดในโลกนี่ขึ้นมาแล้วก็ไม่ปรารถนาจะแต่งงาน เบื่อหน่ายการครองเรือน ก็มักจะออกบวชกัน 

อันนี้ความเป็นมาของมนุษย์เรา เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นผู้ศึกษาเรื่องราวของพุทธศาสนาแล้ว ก็ควรให้เข้าใจไว้อย่างนั้น เมื่อเข้าใจถูกต้องแล้วบัดนี้ มันก็จะได้ลงมือปฏิบัติตนให้ดำเนินไปในทางที่ดี ทางที่ชอบ เพราะว่าการที่เราจะได้อัตภาพเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ดังกล่าวมานั้น ได้ด้วยกุศลธรรม ได้ด้วยการกระทำความดี ด้วยกาย วาจา ใจ ไม่ใช่ได้ด้วยการกระทำความชั่ว เราถือเอาใจความอย่างนี้ นั่นแหละ เมื่อเราถือเอาอย่างนี้ได้ ผู้นั้นก็จะพยายามทำแต่ความดีเรื่อยไป ไม่ทำความชั่ว สะสมแต่บุญแต่กุศลไป ทำการทำงานก็หาการงานที่ไม่เป็นบาปเป็นโทษนั้น ทำการงานที่ปราศจากบาปอกุศลต่างๆหมู่เนี้ย นั่นแหละเรียกว่า เป็นผู้ได้ภาวนา พิจารณาเห็นเหตุปัจจัยของชีวิตนี้แจ้งตามเป็นจริง แล้วบัดนี้ผู้นั้นเห็นแจ้งในชีวิตตามเป็นจริงอย่างนั้นแล้ว ก็จะไม่ยอมทำความชั่วเลยตลอดชีวิต จะพยายามทำแต่ความดี ให้ทาน รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ไหว้พระ ภาวนา พยายามนั่งสมาธิภาวนา ประคับประคองจิตที่เป็นบุญกุศลอยู่นี่แล้ว ให้มันตั้งมั่นต่อบุญต่อกุศลเรื่อยไป ไม่ให้จิตใจนี่เบื่อหน่ายคลายจากบุญจากกุศล 

เมื่อพยายามประคองจิตให้ตั้งมั่นในบุญในคุณไปได้เท่าไร บุญคุณนี่ก็ยิ่งเจริญขึ้นในจิตใจเท่านั้น แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ใจมันก็สงบดี เยือกเย็น ถึงแม้ว่ามันจะไม่สงบละเอียดจนถึงอัปปนาฌาณไปโน้นก็ไม่เป็นไร ก็แต่ขอให้มันตั้งมั่นอยู่ในบุญในคุณนี่ มันก็ใช้ได้ ก็เจริญปัญญาได้ สามารถเพ่งพิจารณาธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี่ เห็นแจ้งตามเป็นจริงได้ ไม่ใช่ว่าพิจารณาไม่ได้ ข้อนี้ผู้ใดบำเพ็ญ ผู้นั้นแหละรู้เอง เข้าใจเอง ได้ด้วยตนเอง เมื่อตนพิจารณาเห็นขันธ์ ๕ นี่ได้อยู่ก็รู้ นั่นแหละ หรือว่าตนพิจารณาเห็นไม่ได้ ก็รู้ ทำไมจะไม่ได้ เมื่อใจมันตั้งมั่นอยู่ภายในแล้ว นิวรณ์ ๕ ดับไป เช่นนั้นแล้วจิตใจนี่มันสว่างไสวเบิกบานอยู่ภายในนั่นน่ะ 

เมื่อกระแสจิตนี่มันผ่องใสแล้วนี่ มันก็อุปมาเหมือนอย่างตาคนเรานี่แหละ เมื่อมันไม่บอด พอลืมตาออกไปนี่ มันก็มองเห็นวัตถุอะไรต่ออะไรได้เลย แต่เมื่อหลับตาอยู่นี่ก็ยังมองไม่เห็นน่ะ ถ้าลืมตาขึ้นแล้วก็มองเห็นวัตถุ สิ่งของ ปรากฏเฉพาะหน้านั่นได้เลย อันนี้ฉันใดก็อย่างนั้นน่ะ การที่ปล่อยให้นิวรณธรรมครอบงำจิตอยู่นั่นน่ะ เหมือนอย่างเราหลับตาอยู่ นั่นแหละ ย่อมมองไม่เห็นอะไร การที่มาเพียรภาวนา ละนิวรณ์ทั้ง ๕ นี่ออกไปจากดวงจิตนี่ นิวรณ์เหล่านั้นคือ ความรัก ความชัง ความพยาบาทจองเวรต่างๆหมู่นี้นะ ความง่วงเหงาหาวนอน ความที่ปล่อยจิตให้คิดฟุ้งซ่านรำคาญไปต่างๆนานา ความสงสัยลังเล ในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์หมู่นี้ เนี่ย อารมณ์เหล่านี้ดับไปจากจิตใจแล้ว ใจก็ผ่องใส ก็มองเห็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ตามเป็นจริง 

เมื่อเห็นได้ชัดอย่างนั้นแล้วก็ปล่อยวาง ไม่ใช่ว่าต้องให้พิจารณาเรื่อยไปอยู่อย่างนั้น ก็ปล่อยวาง ปล่อยวาง ไม่คิด ไม่วิตกไม่วิจารไปในขันธ์ ๕ อีกต่อไป ก็รู้แล้วนี่ว่าไม่ใช่ของเรา แล้วจะไปพัวพันอยู่กับมันอะไรนักหนา ปลงเสียเถิด วางเสียเถิด ก็วาง พอหยุดคิด หยุดพิจารณา มันก็เหลือแต่ความรู้อย่างเดียวกับสติ ปรากฏอยู่ปัจจุบันเฉพาะหน้านี่ ก็เพ่งอยู่ในความรู้ความเห็นอันแจ่มแจ้งอันนั้นแหละ เพ่งดูอยู่ที่รู้นั่นแหละ ดูว่าความรู้อันนี้มันจะเปลี่ยนแปลงมั้ย เมื่อไม่เปลี่ยนแปลง ก็แสดงว่ามันปลง มันวางขันธ์ ๕ ลงได้ เราก็กำหนดรักษาความรู้ ความเห็นอันนั้นไป เมื่อภาวนาทีไรก็ต้องทำอย่างนั้นแหละ ถ้ามีเวลาอยู่ก็ เอ้า พิจารณาอีก อย่างนั้นนะ พิจารณาให้มันเห็นแจ้งอีกต่อไป พิจารณาแต่ละทีมันก็ละเอียดละออเข้าไปโดยลำดับ มันเป็นอย่างนั้น พิจารณาเห็นชัดอะไรต่ออะไรลงไปแล้วก็ปล่อยวาง หยุดคิด เมื่อหยุดคิดก็เหลือแต่ความรู้กับสติ รู้ว่าจิตไม่ยึดไม่ถืออ้ะ ขันธ์ ๕ นี้ จิตตั้งมั่นอยู่โดยลำพัง อย่างนี้นะ 

นี่แหละเรียกว่า การฝึกจิตเพื่อให้มันละบาปอกุศลออกจากดวงจิตนี้ให้หมดไป ด้วยอำนาจแห่งสมถะและวิปัสสนา เมื่ออกุศลนี่ดับไปแล้ว ก็มีแต่กุศลเท่านั้นนะตั้งอยู่ในจิตนี้ กุศลอันนี้เมื่อมันรวมกำลังกันเข้า เป็นหนึ่งลงไป เป็นมรรคสมังคีลงไปแล้วก็สามารถที่จะให้บรรลุโลกุตรธรรมได้ ข้อนั้นเป็นปัจจตัง เวทิ ตัพโพ วิญญูหิ วิญญูชนผู้ฉลาด พึงรู้แจ้งเฉพาะจิตใจของตนโดยตรง ดังแสดงมา…