Skip to content

การที่บวชได้ต้องมีบารมีมาหนหลัง

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ในเมื่อพวกเรามีนโยบายการนำพาจิตใจของตัวเองดีแล้วเนี่ย จิตใจเราจะคึกคักต่องานที่เราดำเนินอยู่ได้เสมอ เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราตั้งอกตั้งใจกันดีๆ เพราะความจริงแล้วมันแสดงอยู่ จะทำให้ใจของพวกเราพอใจที่จะบำเพ็ญต่อไปได้ 

ทำไมถึงว่าอย่างนั้น เรามานึกถึงองค์อรหันต์ทั้งหลาย เฉพาะสมัยใกล้ๆที่พวกเราพอที่จะได้ทราบประวัติ ไม่ต้องเอาครั้งสมัยพุทธกาลมาพูด เอาแค่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ซึ่งพวกเราก็นับถือเชื่อถือว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เมื่อเรามองดูคุณสมบัติทางร่างกายแล้ว ไม่มีอะไรเกินพวกเรา หลวงปู่มั่นมองตัวเล็กนิดเดียว บอบบาง หนังบางนิดเดียว ความแข็งแรงถ้าจะมองแล้ว หุ่นของท่านไม่บึกบึนเลย เป็นประเภทคนบอบบาง ถ้าเป็นรถก็รถญี่ปุ่น แต่แล้วทำไมท่านก็สามารถก้าวไปสู่ความเป็นอรหันต์ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่น่าคิด 

แต่ในเมื่อเราไปดูความพยายามของท่านแล้วนี่ ท่านมีความพยายามสูงเหลือเกิน จึงเป็นเหตุทำให้ท่านเนี่ยได้สำเร็จมรรคผลได้ หรือพวกเราอาจจะมีปัญหาว่า อ้อ มันอาจจะเกี่ยวกับวาสนาบารมีของท่าน พร้อมบริบูรณ์จึงสามารถดำเนินไปสู่ความเป็นอรหันต์ได้ พวกเราหละ พวกเราก็เช่นกัน ไม่แตกต่างกันหรอก เหมือนๆกัน 

ทำไมถึงว่าเหมือนกัน เอาแค่ปัจจุบันที่เรามาอยู่ที่นี่ มองดูเถอะ บางท่านบางองค์ก็มุ่งต้องการจะบวชตลอดชีวิต ตามธรรมดาในเมื่อไม่มีบารมีเป็นสิ่งกระตุ้นนำพาระบบประสาทสมองจิตใจให้น้อมเอียงไปอย่างนี้นั้น มันก็เป็นไปไม่ได้ เรามองดูดีๆก็แล้วกัน คนอื่นหละ ในโลกนี้มากมายแค่ไหน บวชกันเท่าไหร่ บวชแล้วเอาจริงเอาจังมุ่งหวังธรรมวิเศษอย่างพวกเรา มีกี่องค์กัน เราลองคิดดูให้ดีๆก็แล้วกัน มองให้ดีๆ จิตใจที่น้อมเอียงลงไปได้เต็มที่อย่างนี้นั้น ไม่มีบารมีหรอกหรือ ลองคิดดูเอง 

ถ้าเรามองตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ต้องไปปลุกระดมอะไรให้มันมากเรื่องจิตใจ มันต้องฟื้นฟูขึ้นมาร้อยเปอร์เซ็นต์ ขึ้นมาแน่ๆ แม้แต่อาจารย์ผู้พูดเหมือนกัน บางโอกาส บางจังหวะมันเกิดความท้อแท้ เพราะมีสิ่งกระทบเรื่อยบางที บางทีมองหลายๆอย่างมันทำให้เกิดเบื่อ หรือบางทีการบำเพ็ญของเรา อดตาหลับขับตานอน สามเดือนไม่ได้เอนกายเลย ผลได้ของเรามันไม่สม ก็มักจะมองว่าตัวเองนี่เป็นอภัพพบุคคล ไม่ควรแก่การตรัสรู้ นึกว่าบารมีน้อย 

เราจะหาวิธีสร้างบารมียังไง จึงจะเต็มขึ้นมาได้ นี่! มันมักจะคิด เราก็ทวนหวนขึ้นมาถึงจิตใจเดิม ที่เรามีความพะว้าพะวงอยากจะบวช อยากจะบำเพ็ญ แต่บวชไม่ใช่บวชตามประเพณี อยากจะบวชโดยมองเห็นคุณค่าประโยชน์ของการบวช มองเห็นคุณค่าของธรรมะที่เราปฏิบัติถึงได้ว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์แน่นอน วิเคราะห์ดีแล้วเรียบร้อยแล้วถึงได้บวชมา สรุปแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง มองตามรูปลักษณะแล้วก็น่าจะมีบารมี ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะเป็นได้ และไม่มาได้ เพราะมันมีสิ่งที่ป้องกันไม่ให้มามากมายเหลือเกิน 

แต่แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ไม่มีความสามารถจะกางกั้นการบวชของเราได้ พอน้อมนึกถึงแค่นี้ ใจมันก็คลายกังวล มุ่งหน้าปฏิบัติต่อ อันนี้เป็นอุบายที่จะยกจิตขึ้นสู่พระกรรมฐาน เป็นอุบายวิธีปลุกระดมจิตของเราให้ฟื้นฟูขึ้นมา มันก็ทำได้ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นบรรดาพวกเราผู้ที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลายก็ควรจะเอาอย่างครูบาอาจารย์ที่ดำเนินมาบ้าง 

ทีนี้ถ้ามามองให้มันลึกๆเข้าไปจริงๆแล้ว พวกเรานี่ถ้ามีความพยายามละก็ มีหวัง เป็นไปได้แน่นอน เพราะมองดูหลายแบบหลายอย่าง วิเคราะห์อ่านตรองดูแล้วหลายอย่างน่าจะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าสงสัยว่าตัวเองมีบารมีน้อย ต้องเป็นไปได้ ในเมื่อมันเป็นไปได้แล้วเนี่ย บางท่านบางองค์อาจจะสงสัยว่า คุณธรรมนี่วิเศษแค่ไหนดีแค่ไหน ตอบง่ายๆคุณธรรมวิเศษทำให้ผู้เป็นเจ้าของคุณธรรมที่ทำได้ไม่หลงโลก ไม่หลงความเป็นอยู่ของโลก เอาอย่างนั้นละกัน เอาง่ายๆเลย ไม่หลงโลก 

ไม่หลงความเป็นอยู่ของโลก หมายความว่ายังไง ในเมื่อจิตเกิดโลกะวิทูของจิต รู้สภาพความเป็นจริงของโลกที่ถูกต้องแล้ว ไม่หลง! สภาพของความเป็นจริงของโลกคืออะไร อนิจจังเป็นหลักยืน ทุกขังเป็นคุณสมบัติ อนัตตา ไม่ใช่อาตมะตัวตนเราเขา เป็นหลักที่ต้องพิจารณา อันนี้มันแน่นอนเหลือเกิน มันแน่นอน เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งสามเนี่ยมันแน่นอน เราจะต้องเห็นได้ชัดๆ จิตยอมรับแน่นอนและจะเปลี่ยน นี่เป็นอย่างนั้น 

นอกจากนั้นแล้วอีกสิงที่เป็นผลพลอยได้มันช่างมากมายเหลือเกิน เหลือที่จะพรรณนา เอาง่ายๆ หมายถึงอรหันต์และผู้ที่ทั้งหลายตั้งแต่ยุคสมัยพระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พูดแบบศัพท์ง่ายๆ ในยุคสมัยกระโน้นผู้สำเร็จธรรมตามพระพุทธเจ้ามากมายเหลือเกิน หลายวรรณะด้วยกันด้วย ขอทานก็มี เอาว่างั้นก็แล้วกันนะ ขอทานก็มี พวกคฤหบดีมหาศาล เศรษฐี มหาเศรษฐี พระราชามหากษัตริย์ ไม่ต้องว่าตามวรรณะของอินเดียหรอก ว่าแบบไทยๆ หลายวรรณะ หลายโคตร หลายตระกูล ได้ตรัสรู้ธรรมพระพุทธเจ้า แต่ละท่านที่บรรลุธรรมแล้วเนี่ย ไม่เคยถอยหลังออกมารับความสุขแบบโลกีย์วิสัย มีแต่ตำหนิแบบโลกีย์วิสัยว่า ยึดเอาความทุกข์มาเป็นความสุขเท่านั้น ไม่มีความสุขเลย มีแต่ความทุกข์ ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ แต่ไปยึดเอาสิ่งที่เป็นทุกข์เนี่ยมาเป็นความสุขทั้งนั้น อันนี้เป็นอย่างนั้น 

เรามองถึงคุณธรรมที่ได้ที่เป็นนี่ มีแต่ความเพลิดเพลินอยู่ในคุณธรรมนี้ตลอดทั้งนั้น แต่เราอย่าไปเข้าใจธรรมะให้มันเกินความเป็นจริงไป ถ้าไปเข้าใจธรรมะเกินความเป็นจริงไปแล้วก็เสร็จ เปรียบเหมือนคนมาบำเพ็ญอยู่ที่นี้ เค้าไปอยู่กับโพธิรักษ์ เค้าไปอาทิตย์เดียวเท่านั้นเอง เค้าประกาศว่าเค้าได้คุณธรรม ประกาศคุณธรรมคืออะไร เจ้าตัวยังไม่รู้ว่าคืออะไรด้วย นั่งสมาธิไปเหมือนฟุตบอล โดนเข้าไปสีข้างตุ้บ สะดุ้งเฮือก ไปกราบเรียนท่านอาจารย์ อาจารย์ก็บอกว่านั่นแหละคือธรรม ยกย่องให้เค้าเป็นผู้รู้ธรรมชั้นนั้น ชั้นนั้นๆเชียวหละ เออ เป็นอย่างนั้น ถ้าไปเอาคุณธรรมอย่างนั้น มันก็เสร็จลูกเดียว ไม่มีความหมายอะไรเลย 

คุณธรรมที่เราได้เราเป็นเรารู้และใจเรายอมรับนั้นคือสภาพของความเป็นจริงในโลก เราจะไปมองอะไรมันนอกจากเราไปเล่า เรามองเรานี่สิ ดูตัวของเรานี้ เรายอมรับสภาพความเป็นจริงของตัวเรามั้ยหละ เราเกิดมาเบื้องต้นมันแค่ไหน ปัจจุบันนี้มันแค่ไหน แล้วมันจะต่อไปอีกข้างหน้ามันคืออะไร ยอมรับมั้ย ใจยอมรับหรือเปล่า สภาพของความไม่เที่ยง เกิดมาเล็กๆ พอเติบโตมาถึงปัจจุบันแล้วก็จะแก่เฒ่า ตายไปที่สุด ยอมรับมั้ยว่าเราจะต้องเป็นอย่างนั้น ความจริงแล้วสักขีพยานมันมี เราเห็นอยู่ คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ดาษดื่นทั่วโลกไปที่ไหนก็เห็น แต่ใจของเรายอมรับมั้ย ตามสภาพของความเป็นจริงอันนี้ 

ความเป็นทุกข์หละ ทั้งกายและใจเราก็ย่อมรู้ มันทุกข์ ทุกข์มันเป็นยังไง เรารู้ประจักษ์แก่ตัวของเราแล้ว แต่ใจยอมรับมั้ยหละ สังขารร่างกายที่เราประคองเค้าอยู่นี้ เค้าก็มีแต่จะเปลี่ยนแปลงหรือจะสลาย เราก็หาวิธีประคับประคอง ประคบประหงมมัน ให้มันมีความเป็นอยู่ได้ รู้มั้ยว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวของเรา คือธาตุโลกเค้าประชุมอยู่ เค้าจะต้องสลายไป ธรรมะคืออันนี้ต่างหาก 

เรามาดูให้มันเข้าใจตามสภาพของความเป็นจริง ให้มันเห็น สภาพของความไม่เที่ยง สภาพของความเป็นทุกข์ สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนอาตมะเราเขาที่ไหน เค้าจะต้องสลายไปตามกำลังของธาตุโลก เราชัดแล้วหรือยัง เห็นแล้วหรือยัง จิตยอมรับแล้วหรือยัง แค่เนี้ย อันนี้เป็นตัวธรรมะจริงๆคืออันนี้ 

ธรรมะไม่ได้อยู่นอกฟ้านอกแผน ธรรมะไม่ใช่ของวิเศษเหมือนลม ปลิวเข้ามาหาตัวเรา เกิดมีความสุข เกิดกายเย็นใจเย็น เกิดกายเบาใจเบา ไม่ใช่อย่างนั้น สภาพความเป็นจริงของธรรมะ เรารู้เราเห็น ต้องรู้สิ่งสภาพของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันนี้ตัวหญ้าปากคอกจริงๆมันอยู่ตรงนี้ ถ้าเราได้สามอันยอมรับแน่นอน อันอื่นไม่ยาก สามารถมองเห็นทะลุปรุโปร่งอะไรคืออะไรขึ้นมา 

พอมันได้แล้วจิตของเราเนี่ยจะไม่พะวงในความเป็นอยู่ในโลก ไม่หลงใหลในความเป็นอยู่ในโลก ไม่ปรารถนาทะเยอะทะยานดิ้นรน เหมือนเด็กผวาจะจับไฟ เหมือนเด็กผวาจะจับของแข็งมีคม เหมือนเด็กผวาจะจับสิ่งสกปรกมากินมาเล่น ไม่เหมือนอย่างนั้นซะแล้ว ชะงัก ชะงักก็แล้วกัน ชะงัก มองของความเป็นอยู่ของโลก ทุเรศ! เวทนา น่าสงสาร บุคคลผู้หลงทั้งหลาย มันจะเกิดอย่างนี้เปลี่ยนขึ้นมาเป็นคุณสมบัติ อันนี้แน่นอน 

เพราะฉะนั้นขอให้ผู้ปฏิบัตินี่อย่าไปมองธรรมะให้มันไกลเกินไป ต้องมองธรรมะใกล้ๆ ไอ้แบบตุ้บสีข้างเหมือนฟุตบอลฟาดนั่น อันนั้นเราจะไปเข้าใจเป็นคุณสมบัติของธรรมะ อะไรก็ไม่รู้ ของพวกเราหละมองไม่ออกว่าอันนั้นมันเป็นธรรมะได้ยังไง เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราผู้ปฏิบัติจงเข้าใจธรรมะง่ายๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ปฏิบัติง่ายๆ ศึกษาง่ายๆนิดเดียว 

แต่หาวิธีทำให้ใจของเรายอมรับสภาพของความเป็นจริง มันยากหน่อย เราต้องสร้างอำนาจส่วนบังคับขึ้นมาให้สมบูรณ์ ยกรูปเปรียบง่าย เหมือนนักจิตวิทยาเค้าสามารถเรียกเด็กอยู่กลางถนนเนี่ยขึ้นมาบนเวที ร้องเพลงฝรั่งได้อย่างดี เราเรียกมันได้หรือเปล่า เรียกขึ้นมาไม่ได้ ทำไม อำนาจจิตของเรามันต่ำ เรียกเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นฉันใด ในเมื่ออำนาจส่วนคุ้มครองไม่สมบูรณ์ เราก็บังคับจิตให้รับสภาพความเป็นจริงไม่ได้ 

แต่อำนาจส่วนที่สร้างขึ้นมาสมบูรณ์แล้ว ดีแล้ว จิตไม่มีทางที่จะหนีอำนาจส่วนสร้างขึ้นมาไปได้แล้ว การโอปนยิกธรรม น้อมความจริงเข้ามานั้น จิตยอมรับ จะไปเจอคนเจ็บที่ไหนก็แล้วแต่ ก็ต้องโอปนยิกธรรม เราก็คิดอย่างนั้น ไปเจอคนแก่ เราก็โอปนยิกธรรม เราจะต้องอย่างนั้น ไปเจอความตายก็โอปนยิกธรรมว่าเราก็ต้องอย่างนั้น จิตยอมรับเต็มที่ อันนั้นแหละถึงจะถูกต้อง 

เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราผู้ปฏิบัติจงเข้าใจธรรมะง่ายๆ จงเข้าใจธรรมะอยู่ที่ตัวของเรา อย่าไปเข้าใจธรรมะอยู่ในใบลาน อย่าไปเข้าใจธรรมะอยู่ในคัมภีร์วินัย ขอให้เข้าใจธรรมะคือตัวจริงคือของเรา คือตัวของเรานี่เองเป็นตัวธรรมะที่แท้จริง เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราทุกท่านจงเข้าใจนโยบายการดำเนินของครูบาอาจารย์ที่สอนพวกเรามาและประพฤติปฏิบัติดำเนินมาจนเป็นเหตุให้สำเร็จมรรคผล (เทปจบ)