หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
คือทุกปีมาญาติโยมก็ได้ตั้งสัตยาธิษฐาน ก็เพื่อจะประพฤติวัตรปฏิบัติดีในสิ่งที่ตนเองอธิษฐานแล้วนั้น จะพยายามให้เป็นหลักยืน เป็นความแท้จริงของชีวิตประจำปี เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ทำไมถึงเตรียม ถึงทำอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องบุญเรื่องกุศล เรื่องเสบียงของจิตใจ เรื่องอารมณ์คู่ของใจ อันนี้เป็นหลักที่สุดที่เราจะต้องทำให้จิตใจของเราเคยหรือคุ้นต่อความดี
เพราะฉะนั้นเราตั้งสัตยาธิษฐานนี่เป็นความหมายแห่งชีวิตเป็นประจำปี ถ้าเราไม่ตั้งสัตยาธิษฐานเลยนี้ก็ ไม่มีความหมายในชีวิตอะไรนัก ต้องมีความหมายในชีวิต คือความดีที่เรากระทำไว้เป็นประจำปี อันนี้เป็นหลักยืน ทำให้จิตของเราระลึกถึงความดีอันนี้อยู่เสมอ
ในเมื่อเราจะจากร่างของเราไปสู่ปรภพนั้น ก็ต้องอาศัยอารมณ์เบื้องต้น อารมณ์เบื้องต้นนี่สำคัญที่สุด ถ้าจิตของเราไม่มีสมาธิ เป็นสิ่งบังคับแล้ว การเข้าไปเกาะอารมณ์อันเป็นเบื้องต้นนั้นมันไม่แน่นอน ไม่แน่นอนเด็ดขาด ความดีหรือสมาธิหรือสติตัวเนี้ย เปรียบเสมือนหางเสือของเรือ หรือพวงมาลัยของรถ ถ้ารถขาดพวงมาลัยเสีย ถ้าเรือขาดหางปลาเสีย จุดหมายปลายทางไม่แน่นอนซักอย่าง ไม่รู้จะไปยังไง ถ้าพวงมาลัยปกติ เจ้าของรู้ทิศทาง สามารถประคับประคองเข้าสู่เป้าของตัวเอง เรือก็เช่นกัน เครื่องจักรดี นายสารถีรู้จักทาง หางเสือปกติ สามารถบังคับเรือเข้าสู่เป้าหรือท่าจอดได้
ฉันใดก็ดีจิตใจของเรานี้ถ้าไม่มีสติสัมปะชัญญะเป็นสิ่งครอบคลุม หมั่นระลึกถึงความดีให้เสมออย่างตามหลักอนุสติ ๑๐ น่ะ มีจาคานุสติ สีลานุสติ อะไรเหล่าเนี้ยที่เราดำเนินกันเนี่ยเป็นสิ่งระลึกให้คุ้นเคยต่อการระลึกแล้วนั้น ก็เปรียบเสมือนว่าเรือไม่มีหางเสือ รถไม่มีพวงมาลัยเพราะสติสัมปะชัญญะเนี่ยเป็นเสมือนหางเสือ ส่วนความดีที่เราสร้างสมอบรมซึ่งเราหมั่นระลึกอยู่เสมอ สติคุมให้จิตระลึกถึงความดีเสมอนั้นเสมือนโชเฟอร์ที่จะนำเข้าหาเป้า อันนี้แน่นอน
ถ้าเผื่อเรานี่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีอะไรซึ่งเป็นหลักที่แน่นอนนั้น ตอนที่เราออกจากร่างนั้นอารมณ์ไม่แน่นอน ถ้าเราฝึกสมาธิให้ชำนาญ พยายามระลึกถึงความดีเราอยู่เสมอประจำปี เรามีความหมายแน่นอนในชีวิต คือบุญกุศลของเรานั้น หากในเมื่อเราจะจากร่างไป หนีไม่พ้น สติที่สร้างสมบูรณ์แล้วย่อมเข้าครอบคลุมจิต การระลึกถึงความดีนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนเพราะเราเคยอยู่แล้ว ในเมื่อได้ความดีและอารมณ์ที่ดีเป็นคู่ของใจแล้วไม่ต้องห่วง สุคติภพแน่นอนที่สุด ถ้าเผื่อว่าเราไม่มีสติสัมปะชัญญะ และไม่มีความดีประจำวันหรือประจำปี ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะระลึกถึงให้ชำนิชำนาญแล้วนั้น ไม่แน่นอน ไม่แน่นอน
เพราะฉะนั้นสมควรอย่างยิ่งลูกตถาคตนี่ ต้องมีความหมายในชีวิตเพราะเราอยู่ในมนุษย์นี้อยู่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ไม่สู้จะนานนัก แต่พวกเราอยู่ก็เห็นว่า แหม! เหนื่อย บางคนแค่ ๘๐ ปีบ่นแล้วว่า “อยากตายๆ” ทำไม “เบื่อเหลือเกิน เหนื่อยเหลือเกิน อายุนานเหลือเกิน อยู่ก็ไม่รู้อยู่ไปทำไม อยากตายๆ” มองอายุ ๗๐ ๘๐ ปีนี่ยาว ทรมาน ด้วยเหตุหลายประการ หนึ่ง เมืองมนุษย์ไม่มีความสุขพอที่จะเพลิดเพลินให้หลงลืมสิ่งเหล่านั้นได้ เป็นหลักธรรมดา แต่แท้ที่จริงแล้วถ้าจะมองถึงอายุของมนุษย์แล้ว แหม มันก็รู้สึกว่าสั้นเหลือเกิน
อันนี้เรามองดูเถอะ แม้แต่พระอินทร์เอง ซึ่งเราเคยขนานนามว่า มฆมาณพ ซึ่งเป็นผู้สร้างความดีสร้างบารมี สร้างความดีเหลือเกิน และก็มีพระมเหสีมาก ส่วนพระมเหสีท่านหนึ่ง รูปร่างสังขารดีเลอเลิศ หลงในสังขารตัวเอง มัวแต่แต่งตัวให้มฆมาณพเนี้ยเสน่หารักใคร่ จะได้เกิดความเพลิดเพลินโสมนัส ไม่ยุ่งไม่เกี่ยวกับงานอย่างอื่น มุ่งแต่การแต่งตัว โชว์ร่างโชว์กระดูกอยู่ตลอดเวลา ส่วนพระมเหสีนอกนั้นตั้งหน้าตั้งตาทำความดี จะตากแดดตากฝนก็เอา ขอให้ได้สร้างความดีเคียงบ่าเคียงไหล่คู่พระสวามีก็แล้วกัน
แต่ส่วนคนหนึ่งนั้นทำร่วมอยู่แต่ส่วนใหญ่ที่สุดคือการแต่งตัวเป็นอาจิณ ของใช้ของทรงต่างๆต้องเลอเลิศให้มันสมกับตัวเอง ไปไหนมาไหนก็มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมในเรื่องสังขารร่างกาย
ถึงที่สุดก็ม้วยชีวาด้วยกัน ขึ้นไปอยู่สวรรค์ ส่วนมฆมาณพก็ได้เป็นพระอินทร์ ส่วนพระมเหสีนอกนั้นก็ขึ้นเป็นพระมเหสี แต่ท่านผู้เลอเลิศนั่นหมดอายุคือหมดบุญจากสวรรค์ คือหมดบุญซะแล้วก็ต้องลงมาสู่มนุษย์โลก น้อยใจเสียใจตัวเองว่าบุญน้อยวาสนาน้อย อยู่กับพระสวามีได้น้อยเหลือเกิน ก็รีบลงมา
ก็มาเกิดเป็นลูกช่างหูก เพราะความปณิธานอันแน่วแน่ก็อยากจะมาเกิดเป็นลูกช่างหูก จะได้ทอผ้าเอาผ้าไปถวายเป็นจีวรเป็นสบงต่อพระภิกษุสามเณร จะได้บุญ ก็เลยหนีลงมา ตั้งหน้าตั้งตาทอผ้าขาย ตั้งหน้าตั้งตาทอผ้าแล้วก็พยายามตัดสบงจีวรถวายพระภิกษุสามเณร ด้วยเป็นการสร้างบารมีอย่างดิ้นรนที่สุด อีกซักพักนึงกลับไป(สวรรค์)
ส่วนพระอินทร์ได้ถามพระมเหสีตนนั้นว่า เมื่อกี๊นี่พระนางหายไปไหนแว้บนึง บอก ลงไปสู่มนุษย์โลก นางไปสู่มนุษย์โลกนานซักเท่าไหร่
“อายุความเป็นมนุษย์ของหม่อมฉัน ๘๐ ปีเต็มบริบูรณ์ แล้วก็จุติจากมนุษย์มาเกิด”
“เอ้ะ นี่ฉันมองดูการร้อยดอกไม้ยังไม่ได้กะพริบตา ๘๐ ปีหรือนี่”
นี่คือ ๘๐ ปีมนุษย์ ไปอย่างนั้น ขนาดพระอินทร์มองพระมเหสีและสนมกำนัลร้อยดอกไม้ มองยังไม่ได้กะพริบตา มองคนโน้นคนนี้ ซึ่งพระนางหายแว้บไปน่ะ ไม่รู้ไปไหน กลับมาก็ถาม บอกว่ากลับไปเมืองมนุษย์ ไปทำไม บอกว่าหมดบุญแล้วก็ไปเกิดในเมืองมนุษย์สร้างบารมีเพิ่ม ก็ได้ทอผ้าถวายพระเจ้าพระสงฆ์ ดิ้นรนอย่างที่สุด ไม่เอาอย่างเดิมแล้ว ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่ดิ้นรนในสังขารร่างกายแล้ว มุ่งบารมีลูกเดียวเพราะเสียใจตัวเองมาก
ผลที่สุดกลับไป ก็งงว่าหายไปไหนแว้บนึง ลงไปสู่มนุษย์ ลงไปสู่มนุษย์อายุไข ๘๐ ปีของพระนางจึงได้ขึ้นไป พระองค์บอกว่ายังไม่ได้กะพริบตาเล้ยนี่ ยังมองสนมกำนัลในและพระมเหสีทั้งหลายร้อยดอกไม้ กำลังเพลิดเพลินอยู่ในอุทยาน ยังไม่ได้เคลื่อนที่ ตายังไม่ได้กะพริบ ทำไม ๘๐ ปีเมืองมนุษย์ไวนัก
อันนี้เทพเจ้าเหล่าเทพามีความสุขเหลือเกิน มองดูมนุษยโลกนี่เกิดตาย เกิดตาย เกิดตายเนี่ยอย่างไวที่สุด เพราะฉะนั้นเรามาอยู่เป็นมนุษย์โลกนี่ไม่ยาวเลย แล้วอะไรทั้งหมดรวมที่นี่ การสร้างความดี การสร้างบารมีของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้บอกว่าพระองค์ไปสร้างบนสวรรค์ ไม่ได้บอกว่าพระองค์ลงไปสร้างในนรก บารมีทั้งหลายทั้งปวงของพระองค์ที่พระองค์ได้กำลังสนับสนุน เป็นไปเพื่อโพธิญาณของพระองค์นั้น สร้างในเมืองมนุษย์ แล้วพระพุทธเจ้าก็มาเกิดในเมืองมนุษย์ ตรัสรู้ในเมืองมนุษย์ ประกาศศาสนาในเมืองมนุษย์ ศาสนานั้นไม่ได้ประกาศในเมืองสวรรค์ ศาสนานั้นไม่ได้ลงไปประกาศในนรก ไม่ได้ประกาศในพรหมโลก ประกาศอยู่ในเมืองมนุษบ์ของเรา
เมืองมนุษย์ของเรานี่มีธรรมะข้อเปรียบเทียบ มีดี มีชั่ว มีสุข มีทุกข์ มีร้อน มีหนาว มีสวยขี้เหร่สูงต่ำ ทุกอย่างมันมีการเปรียบเทียบ ธรรมะคือของจริง สภาพแห่งความเป็นจริงที่มีอยู่ในโลก สิ่งที่เห็นด้วยตา สิ่งที่ได้ยินด้วยหู ซึ่งเราเห็นๆกันอยู่ นี้คือธรรมะ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลก เนื่องจากว่ามีธรรมะสิ่งเปรียบเทียบกัน มีดี มีชั่ว มีรวย มีจน มีสวย มีขี้เหร่ มีเกิด มีตาย มีสบาย มีทุกข์ เป็นสิ่งเปรียบเทียบกัน
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจะหยิบยกเอาสิ่งต่างๆเหล่านี้มาอธิบายให้เข้าใจสภาพความเป็นจริงของโลกฉะนี้ อันนี้สุขนะ ค่อยเห็นเป็นสุข อันนี้ทุกข์นะ ก็เห็นเป็นทุกข์ ไม่ไปยึดเอาสิ่งที่เป็นทุกข์มาสุข ไม่มองเห็นสิ่งที่เป็นสุขเป็นทุกข์ ให้มองเห็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าสร้างบารมี ณ ที่นี้ พระพุทธเจ้าประสูติ ณ ที่นี้ ผนวชที่นี้ แสวงหาโมกขธรรมในที่นี้ คือหมายความว่าเมืองมนุษย์นี้ ตรัสรู้ก็อยู่ ณ ที่นี้ ประกาศสัจธรรมก็อยู่ในเมืองมนุษย์นี้ ตามหลักของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นบัดนี้เรามาเกิดอยู่ในเมืองมนุษย์ เราพบแล้วซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้า ศาสนายังสมบูรณ์อยู่เหลือเกิน เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ศึกษาปฏิบัติ ก็ขอให้ตั้งอกตั้งใจกัน
อาตมาดีใจมากที่สุดก็คือญาติโยมทั้งหลายได้ตั้งสัตยาธิษฐานเป็นประจำปี เท่าที่ได้ฟังและได้ดูแล้วรู้สึกว่า น่าตื่นเต้น น่าเพลิดเพลินเหลือเกิน วันนี้อยากจะให้ศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย ลูกศิษย์ลูกหานี้ ได้ฟังคำที่ตัวเองตั้งสัตยาธิษฐานนั้น มีกี่ข้อกี่อย่าง มีอะไรบ้าง ต่อจากนี้ไปจะได้อ่านสู่ฟังทุกวันพระ นอกจากจะมีอุปสรรค ถ้าไม่มีอุปสรรคจะต้องอ่านกันทุกวันพระ